Saturday, March 31, 2007

 

ย้านบ้าน...ย้ายบ้าง

ย้ายบ้านครับ www.babbirdbird.wordpress.com

Tuesday, January 23, 2007

 

หมีมองคน: มุสาวาทชาตินิยม

ปล. (ปฐมลิขิต): นอกจากโป้ปดมดเท็จแล้ว มุสายังรวมความถึงการส่อเสียด ติฉินนินทาอีกด้วย

ผมชอบไปนั่งอยู่ใต้คณะเรียนของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง...

คนที่ผมรู้จักมากมายวนเวียนชีวิตอยู่ที่นั่น คณะเศรษฐศาสตร์อันดับหนึ่งของประเทศ อันดับสี่ของเอเชีย แต่เหล่านั้นก็แค่บอกใบ้ให้รู้ว่าผมไปนั่งอยู่ที่ไหน ไม่ใช่สาระสำคัญอะไรของเรื่องราวที่กำลังจะพูด

ผมชอบเวลาเพลงชาติดัง...

เป็นเรื่องสนุกไม่หยอก เพราะในขณะที่เพลงชาติดังขึ้น และผมนั่งลอยหน้าอย่างไม่ยี่หระกับธรรมเนียมปฏิบัติของสังคม (ที่ถูกผู้อื่นกำหนดไว้) ผมก็สามารถครุ่นคิดเอาเองไปเรื่อยเปื่อย ถึงสิ่งที่แฝงฝังไว้ในเนื้อเพลงดังนี้คือ ความพยายามบ่งบอกถึงลักษณะความเป็น “ชาติไทย” (ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย เป็นประชารัฐ ไผทของไทยทุกส่วน) บ่งบอกอุปนิสัยของชนในชาติ ที่ทำให้ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้ (อยู่ดำรงคงไว้ได้ทั้งมวล ด้วยไทยล้วนหมาย รักสามัคคี) เปรียบเทียบลักษณะนิสัยที่สามารถย้อนแย้งได้ตามสภาวการณ์ (ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด) บ่งบอกถึงสิ่งอันเป็นที่รัก หวงแหน และพึงรักษาไว้ให้ได้ (เอกราชจะไม่ให้ใครข่มขี่) ต่อด้วยความในวรรครองสุดท้ายของเพลง (สละเลือดทุกหยาดเป็นชาติพลี) ซึ่งฟังแล้วรู้สึกได้ถึงความหมายในสองลักษณะ หนึ่งคือสิ่งที่เน้นย้ำให้เชื่อกันมาตลอดว่าบรรพบุรุษทำ และสอง ภายใต้ใจความเดียวกันนั้น แสดงถึงจุดมุ่งหมายที่อยากให้คนรุ่นหลังได้ปฏิบัติในแบบเดียวกัน เพื่อจุดประสงค์สุดท้ายที่วรรคสุดท้ายของเพลง (เถลิงประเทศชาติไทยทวีมีชัยชโย)

พร้อมๆกันนั้น ผมก็ได้ดูท่าที ปฏิกิริยาที่คนที่นี่มีต่อเพลงชาติ พวกเขาจะลุกขึ้นช้าๆ ราวกับไม่อยากทำบาปด้วยการพรากตูดจากเก้าอี้ ยืนทอดสายตาเหม่อลอยไปไกล (มีบ้างที่มาตกอยู่ที่ผม) ยืนพักขา ยืนเกาะโต๊ะ มือแกะนั่นเท้าเกานี่ รอคอยเวลาให้เพลงจบ บ้างถ้าคุยโทรศัพท์มือถือ คุยกับเพื่อน หรืออ่านหนังสือติดพันอยู่ พวกเขาก็จะปฏิบัติมันต่อไป และอย่างราบรื่นราวกับเพลงชาติไม่สามารถสกัดกั้นท่วงทำนองชีวิตของพวกเขาได้เลย

จนเพลงจบไปแล้ว และนั่งคิดเดาเอาเองเสร็จสรรพไปแล้ว ผมก็ยังจมตูดอยู่กับผิวเก้าอี้ ลอยหน้าท้าทายสายตาประปรายของประชาชนที่มองมา พลางครุ่นคิดถึงเสียงของคนไม่รู้จัก ที่ตะโกนใส่คนที่ผมรู้จักที่นั่งลอยหน้าอยู่ใกล้ๆกัน ตะโกนในช่วงที่เพลงบอกว่าล้วนหมายรักสามัคคีว่า “มึงเป็นพม่าเรอะ?”

นึกแล้วก็ให้แปลกใจ ว่าเชื้อชาติสัญชาติมันเปลี่ยนกันได้ง่ายๆ ภายใต้มาตรฐานว่าได้กระทำในธรรมเนียมปฏิบัติ ที่รัฐในสมัยหนึ่งกำหนดไว้ให้หรือไม่เท่านั้นเองหรือ

ผมก็ตลกไปเรื่อย...

มันจะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีกฎหมายข้อใดบัญญัติไว้ ว่าในกรณีที่ผมไม่ยืนตรงเคารพเพลงชาติไทยแล้ว ผมจะกลายสัญชาติเป็นพม่าได้ทันที และผมก็ยังสงสัยต่อไป ว่าทำไมต้องพม่า เป็นอเมริกาไม่ได้หรืออย่างไร หรือเป็นฟินแลนด์ เป็นเยอรมัน เป็นเกาหลี เป็นญี่ปุ่น เป็นอังกฤษไม่ได้หรือ เผื่อคนที่ตะโกนจะได้สำนึก ลึกอีกหน่อยก็สำเหนียก ว่าผมนี่เอง ชนชาติที่ผลิตรูปแบบรสนิยมการแต่งกาย รสนิยมการกินอยู่ รสนิยมทางดนตรี โทรศัพท์มือถือ เกมคอนโซล เกมออนไลน์ ซีรี่ส์ยอดนิยม ที่เรียนต่อให้ชุบตัว เบียร์ให้ดื่ม หรือแม้กระทั่งหนังโป๊ให้เขาเสพย์

แล้ว...ทำไมต้องพม่า

คำตอบง่ายๆ เพราะภายใต้เนื้อหาประวัติศาสตร์นิพนธ์ที่เราร่ำเรียนกันมา พม่าเป็นศัตรูเดียวที่มีความชัดเจนที่สุด ว่าเป็นศัตรูของคนทั้งชาติ พม่าจึงเป็น “ความเป็นอื่น” หนึ่งเดียว ที่น่าจะเกาะติดอยู่ในความรู้สึกของใครหลายๆคน หรืออาจจะทุกคนโดยที่ไม่ทันมีใครได้รู้ตัว ดังนั้น ภายใต้ฐานปฏิกิริยา*ที่ว่า “การเคารพธงชาติแสดงถึงความรักชาติและความเป็นพวกเดียวกัน” พอเห็นใครไม่ยืนตรง ก็จะบอกว่าเป็นพม่า หรือ “คนไทยหรือเปล่า?” ไปเสียหมด น้อยนักจะกล่าวหาว่าเป็นลาว เพราะส่วนใหญ่มักใช้ลาวแสดงถึงอุปลักษณ์อย่างอื่น ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องรักชาติ แต่เป็นเรื่องความเหนือกว่าต่ำกว่า และภายใต้ประวัติศาสตร์ในชั้นเรียน พม่านั้นเป็น “ความเป็นอื่น” หนึ่งเดียวที่มีภาพลักษณ์ของการคุกคามเอกราชของไทยมากที่สุด (มากกว่าภัยล่าอาณานิคม เพราะอย่างหลังนั้นเราป้องกันได้ ด้วยวิธี “เสียส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่” อันโด่งดังในชั้นเรียนเช่นกัน) จึงไม่น่าแปลกใจ หากการเคารพธงชาติ ภายใต้เพลงชาติอันมีความหมายแฝงฝังดังกล่าวไปแล้ว จะเป็นการแสดงถึงความรักชาติ อันถูกกำหนดให้แสดงออกด้วยการยืนตรง ใครที่ไม่ยืนตรง ย่อมหมายความว่าไม่รักชาติ และกลายเป็น “ไม่ใช่ไทย” หรือ “อ้ายพม่าข้าศึก” อย่างที่เคยเรียกกันในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ไปได้โดยง่าย

[*ผมเรียกมันว่าปฏิกิริยา เพราะได้คิดตรองดูแล้วว่าพฤติกรรมดังกล่าวนั้น มีลักษณะของความเป็น “Reflex” หรือปฏิกิริยาสะท้อน มากกว่าที่จะเป็น “ความคิด” กล่าวคือ มันดีดเด้งออกมาจากไขสันหลัง ไม่ได้ผ่านการไตร่ตรองโดยสมอง คล้ายๆพอพาฟลอฟ[1]สั่นกระดิ่งแล้วหมาน้ำลายไหล เพราะจำได้ว่าจะได้กินเนื้อ]

ผมจึงสนใจต่อไปว่า แบบใดเล่าจึงเรียกว่าการเคารพรัก ระหว่างผมที่นั่งจมตูดลอยหน้า วิเคราะห์ความหมายที่แฝงฝังในเนื้อเพลง กับพวกที่ยืนขึ้นในท่าพักขาข้างหนึ่ง สนทนากันอย่างต่อเนื่องจากตอนนั่ง อ่านหนังสืออย่างต่อเนื่อง คุยโทรศัพท์อย่างต่อเนื่องจนกลับมานั่งอีกครั้ง ผมเกรงว่าในกรณีนี้ ทั้งความเป็นผม และความเป็นอื่นอันผมหมายถึงพวกเขาบ้างนั้น จะไม่มีลักษณาการใดเลยที่เรียกได้ว่าเป็นการเคารพ เพราะล้วนไม่มีลักษณาการใดที่แสดงถึงการ “ยืนตรง” ตามแบบที่เข้าใจกันว่าคือเหยียดกายตรง ขาเหยียดชิด สองแขนแนบชิดลำตัว

แต่หากถามว่ามีใครผิดไหม ผมว่าไม่ เพราะภายใต้ยุคสมัยที่เราใช้ชีวิตอยู่นี้ ผมเชื่อว่าเราทุกคนล้วนมีความห่างไกลจากความรู้สึกร่วมที่แฝงฝังอยู่ในเพลงชาติพอๆกัน เนื่องด้วยไม่ได้มีเหตุการณ์หนึ่งใด อย่างเช่นตกเป็นเป้าของการล่าอาณานิคม การคุกคามทางทหารจากประเทศเพื่อนบ้าน หรือสิ่งที่เคยถูกย้ำหนักหนาว่าเป็นภัยอย่าง “คอมมิวนิสต์” ซึ่งสองอย่างแรกนั้น เราคุ้นเคยจากในแบบเรียน ว่าเป็นตัวกระตุ้นเร้าที่รุนแรงเพียงพอจะทำให้เราหวั่นไหว หวาดกลัวต่อการสูญเสียเอกราช จนต้องคว้าจับเอาสิ่งใดก็ตามอันเป็นภาพลักษณ์ของความเป็นชาติมาถือไว้ ดังนั้น หากมิได้รู้สึก “เข้าถึง” หรือที่วัยรุ่นเรียกว่า “อิน” ไปกับเพลงจริงๆ ผมว่า หากไม่มีใครยืนตรงอย่างแข็งขัน ก็ย่อมไม่น่าใช่เรื่องผิดบาปแต่ประการใด ถ้าจะผิด ก็คงผิดในเชิงสังคมความเชื่อมากกว่า

และในขณะเดียวกัน ผมก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยต่อไป ว่าสิ่งที่เรียกกันว่า “ชาติ” อันนำมาซึ่งลัทธิ “ชาตินิยม” นั้น แท้จริงแล้วมันคือสิ่งใดกัน

ตามปรกติ ทันที่ผมสงสัยในคำใดใด ผมจะเปิดหาความหมายในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตย์ฯ** ด้วยใช้ใจ (ที่ถูกปลูกฝัง) ยอมรับว่ามันเป็นคำไทย โดยมิต้องสนใจว่า แท้จริงแล้ว เป็นคำที่ถูกนำเข้ามาจากภาษาบาลี สันสกฤต หรือลิขิตอารยธรรมอื่นใด เพราะพอจะหรี่ตาอนุโลมได้ว่า นั่นเป็น “ความฉลาดในการประสานประโยชน์” แบบหนึ่งตามนัยยะของ “ความเป็นไทย” ตามแบบสมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ กล่าวคือรู้จักรับเอาสิ่งดีใดจากชนชาติต่างๆ มาผสมผสานกลมกลืนเข้ากับวัฒนธรรมดั้งเดิมของไทย จึงไม่น่าแปลกใจ หากจะพบในพจนานุกรมว่า หลายๆคำที่ใช้กันจนชินนั้น ล้วนเป็นคำบาลีสันสกฤต หรือที่อ้างกันว่าเป็นคำไทยนั้น ก็เกิดมาจากการที่ไทยนำเอาคำบาลีสันสกฤตมาผสมกันอีกที

[**ที่บ้านมี 2 เล่ม คือ พ.ศ. 2493 และ 2525 แต่ยังไม่มีฉบับล่าสุด คือฉบับ พ.ศ. 2542 แต่เมื่อค้นดูแล้วก็มิได้พบความแตกต่างอื่นใด ในคำที่จะใช้อ้างในที่นี้]

ในความเหมือนกันของคำว่าชาติ ผมพบว่า มีความแตกต่างทางความหมาย ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตย์ฯปีพ.ศ. 2493 และ พ.ศ. 2525 ดังนี้

พ.ศ. 2493 หน้า 335

ชาติ น. การเกิด, การเป็นขึ้นมา, การเอากำเนิดใหม่: พวก, ตระกูล, ครัว, เหล่า, กำเนิด, ชนิด, จำพวก, ชั้น, หมู่, ประเทศ. (ป.; ส.)

พ.ศ. 2525 หน้า 267 - 268

ชาติ๑,ชาติ- ๑ [ชาด, ชาติ-, ชาดติ-] น. การเกิด เช่น ชาตินี้ ชาติหน้า; กำเนิด เช่น มีชาติมีสกุล; เหล่ากอ, เทือกเถา, เหล่าพันธุ์, เช่น ชาติเสือ, ชาติขี้ข้า; ชนิด, จำนวน, พวก, ชั้น, หมู่. (ป., ส.)

ชาติ๒, ชาติ- ๒ [ชาด, ชาติ-, ชาดติ-] น. ประเทศ; ประชาชนที่เป็นพลเมืองของประเทศ, กลุ่มชนที่มีความรู้สึกในเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา ประวัติศาสตร์ ความเป็นมา ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม อย่างเดียวกัน หรืออยู่ในปกครองรัฐบาลเดียวกัน, ประชาชาติก็ว่า.

ชาติ๓ [ชาด] คำประกอบท้ายคำศัพท์ เมื่อประกอบเข้าแล้วมีความหมายไม่ต่างไปจากคำศัพท์เดิม เช่น พฤกษชาติ คชาชาติ สุคนธชาติ.

ชาติ๔, ชาติ- ๓ [ชาด, ชาติ-, ชาดติ-] น. รส เช่น ไม่เป็นรสไม่เป็นชาติ

(ทั้งนี้ทั้งนั้น นำมาให้ดูแต่เฉพาะความหมายของคำว่าชาติ ส่วนคำประสมอื่นที่เกิดจากการประสมกับคำว่าชาตินั้น ไม่นำมาให้ดู เพราะไม่ใช่ประเด็นที่ต้องการค้นหา)

หากดูตามข้อมูลดังกล่าว ก็จะพบว่า ชาติในสามความหมายหลังนั้น (ชาติ๒, ชาติ๓, ชาติ๔) น่าจะกลายเป็น “คำไทย” โดยอาศัยความหมายที่ตั้งขึ้นโดยผู้ที่เรียกตัวเองว่า “คนไทย” ซึ่งจะสังเกตได้จากการที่ชาติในสามความหมายหลังนั้น ไม่มีการวงเล็บต่อท้ายแสดงที่มาของคำ ว่ามาจากภาษาบาลีสันสกฤต (ป., ส.) และ “คนไทย” ที่ว่า ก็น่าจะเป็นคนไทยภายใต้ความหมายของ “ชาติ๑” และ “ชาติ๒” ที่ได้รับการเติมต่อท้ายด้วยคำว่า “ไทย” นั่นเอง

อนึ่ง พจนานุกรมฉบับพ.ศ. 2525 นั้น เป็นฉบับปรับปรุงจากฉบับพ.ศ. 2493 โดยเริ่มมีการปรับปรุงตั้งแต่พ.ศ. 2520 จึงเป็นไปได้อย่างค่อนข้างจะแน่นอนว่า ชาติ๒ ชาติ๓ และชาติ๔ นั้น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาในช่วง 32 ปีหลังคำว่า “ชาติ” แบบที่ได้บัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษรเมื่อพ.ศ. 2493 ซึ่งน่าจะมองได้สองกรณีว่า เป็นการ “สร้างขึ้นใหม่” หรือไม่ก็ “พิเคราะห์จากสิ่งที่มีอยู่แล้วเห็นความหมายชัดเจนขึ้น” แต่แน่นอนว่าล้วนเป็นการบัญญัติความหมายแบบไทย

อยากจะขอพูดถึงชาติในความหมายของ “ชาติ๒” ...

ด้วยว่ากลายเป็นคำไทยแล้ว ก็จะขอเติมคำว่า “ไทย” เข้าไป ทั้งหลังคำว่าชาติ และที่ท้ายของทุกหน่วยความหมายของ “ชาติ๒” (ผมต้องเติม และระบุความหมายเอาเอง เพราะในพจนานุกรมไม่มีคำว่า “ชาติไทย” และความหมายระบุไว้) ก็จะได้รูปลักษณะคำ ชนิดคำตามหลักไวยากรณ์ และความหมายใหม่ดังนี้

ชาติไทย [ชาดไท] น.ไทย. ประเทศไทย; ประชาชนที่เป็นพลเมืองของประเทศไทย, กลุ่มชนที่มีความรู้สึกในเรื่องเชื้อชาติไทย ศาสนาไทย ภาษาไทย ประวัติศาสตร์ไทย ความเป็นมาไทย ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมไทย อย่างเดียวกัน หรืออยู่ในปกครองรัฐบาลไทยเดียวกัน, ประชาชาติไทยก็ว่า.

หากว่ากันตามความหมายดังกล่าว ภายใต้คำเชื่อม “หรือ” อันเป็นสันธานบอกความให้กำหนดเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมหมายความว่า เพียงอยู่ในปกครองรัฐบาลไทย ก็นับได้ว่าผมเป็นคนไทยคนหนึ่ง โดยไม่ต้องไปคำนึงถึงความใดใดก่อนหน้าคำว่า “หรือ” เพราะฉะนั้น ก็ยิ่งไม่ต้องไปกังวล (ที่จริงก็มิได้กังวล) ว่าตนจะเป็นพม่า เพียงเพราะนั่ง หรือยืนพักขาเคารพเพลงชาติไทย

ก่อนจะว่ากันต่อไป ผมเหลือบมอง และพบความสนุกบางประการ ในการเอาคำว่าไทยไปต่อที่ท้ายคำ ชนิดคำตามหลักไวยากรณ์ ความหมาย และรวมถึงที่มาของคำว่าของ “ชาติ๑” ด้วย

ชาติไทย [ชาดไท] น.ไทย การเกิดไทย เช่น ชาตินี้ไทย ชาติหน้าไทย; กำเนิดไทย เช่น มีชาติมีสกุลไทย; เหล่ากอไทย, เทือกเถาไทย, เหล่าพันธุ์ไทย, เช่น ชาติเสือไทย, ชาติขี้ข้าไทย; ชนิดไทย, จำนวนไทย, พวกไทย, ชั้นไทย, หมู่ไทย. (ไทย)

กลับมาว่ากันต่อ...

คราวนี้ลองมาดูความหมายของคำว่า “ชาตินิยม” กันบ้าง ซึ่งพบว่า ในพจนานุกรมฉบับพ.ศ. 2493 นั้น ยังมิได้มีการบัญญัติความหมายไว้ แต่ถ้าเป็นฉบับพ.ศ. 2525 หน้า 268 ก็จะพบความหมายดังนี้

ชาตินิยม [ชาดนิยม] น. ลัทธิที่ถือชาติเป็นใหญ่, ความรักชาติ.

ถ้าเอาการปรากฏในพจนานุกรมเป็นหลัก แม้จะล่วงเลยมาถึง 25 ปี แต่ก็ต้องถือว่า “ชาตินิยม” เป็นของใหม่ใกล้ตัว แต่ถ้าว่ากันด้วยการปรากฏกระบวนการแล้ว ชาตินิยมเป็นเรื่องไกลตัวทางกาลเวลา หากแต่ใกล้ตัวหนักหนาในเรื่องของผลกระทบ ชนิดที่ไม่ต้องไปขุดค้นกันเลยว่า พจนานุกรมฉบับล่าสุดนั้นนิยามความหมายของชาตินิยมไว้ว่าอย่างไร

โดยลักษณะแล้ว ภายใต้ “ประวัติศาสตร์นิพนธ์รวมศูนย์” (Centralized Historiography) ซึ่งเป็นเครื่องมือหนึ่งในการสร้าง “ชาตินิยมรวมศูนย์” (Centralized Nationalism) นั้น ความเป็น “พวกเดียวกัน” ในความเป็นไทยที่คนไทยส่วนใหญ่รู้สึก บอกว่าตนเป็น และอ้างถึงนั้น ย่อมอธิบายได้ชัดเจนที่สุดโดยใช้ความหมายของ “ชาติไทย” อันมีความประสมมาจากคำราก “ชาติ๒” (คำบาลีสันสกฤต ที่ตกต้องกลายเป็นคำไทย ด้วยการสร้างความหมายแบบไทยโดยคนไทยเพื่อคนไทย) กับคำว่า “ไทย” เพราะนอกจากเรื่องความเป็นพลเมืองไทย ที่ถูกกำหนดอย่างอัตโนมัติโดยข้อกฎหมายแล้ว นอกนั้นล้วนเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น บอกกล่าว และปลูกฝังผ่าน “ประวัติศาสตร์นิพนธ์รวมศูนย์” และ “ชาตินิยมรวมศูนย์” ดังกล่าว ซึ่งมีความเป็น “กลาง” แต่เพียงในเชิงภูมิศาสตร์ คือเป็นความ (อันควรจะ) เป็นไทย หรือสิ่ง (อันควรจะ) เป็นไทยตามสายตาของคนที่อยู่ในภาคกลาง (หรือให้ถูกต้องกว่านั้นก็ต้องบอกว่า คือความเป็นไทย หรือสิ่งเป็นไทยตามสายตาของคนหยิบมือหนึ่งในภาคกลาง ที่ใช้สถานะทางการเมืองมาถือตนเป็นศูนย์กลาง) โดยมิได้มีการคำนึงถึงความยิบย่อยที่ยิ่งใหญ่ อย่างเรื่องของความแตกต่างทางวัฒนธรรมความเชื่อ หรือแม้กระทั่งรูปแบบการปกครองภายใน ที่มิได้เหมือนกันในทุกภูมิภาค หรือที่เล็กลงมาคือท้องถิ่นสักเท่าไรนัก

จึงกล่าวได้ว่า เป็นการขยายความเป็นไทยภาคกลาง ให้กลายเป็นความเป็นไทยสำหรับทุกภูมิภาค โดยให้ทุกภูมิภาคปฏิบัติใน “สิ่งเป็นไทย” ตามที่ได้รับขยายไปจาก “ภาคกลางไทย” ซึ่งผมขอเรียกเอาเองว่าเป็น “ความเป็นไทย” แบบ “Central Region Centricism” คือเอา “ความคิด” ในภาคกลางเป็นศูนย์กลาง (ซึ่งกล่าวไปแล้วว่ามาจากชนชั้นผู้นำ) ส่วนจะขยายการครอบคลุมไปถึงไหนนั้น ให้อาศัยเอา “พื้นที่เอกราช” ที่ถูก “คนอื่น” เขาขีดแบ่ง เหลือไว้ให้จากยุคสมัยการล่า (ถูกล่า) อาณานิคม เป็นขอบเขตของการแพร่กระจายสำคัญ

คงเพราะในเชิงประวัติศาสตร์ ที่กลายมาเป็นแบบเรียน และในชีวิตจริงจนตราบเท่าทุกวันนี้ เรานั้นยังไม่เคยสูญเสียเอกราชอธิปไตย จนนำไปถึงสภาวการณ์ที่ต้องเผชิญกับ “การปกครองที่ไม่เป็นธรรมโดยรัฐ” จึงเป็นการยากที่เราจะเข้าใจว่า ผู้ที่ต้องสูญเสียเอกราชอธิปไตย จนต้องเผชิญกับลักษณะการปกครองดังกล่าว จะต้องใช้ชีวิตด้วยความรู้สึกอย่างไร

หรือทำการต่อต้าน...ด้วยความรู้สึกอย่างไร

เราเรียนรู้การสูญเสียความเป็นเอกราช {[เอกกะราด] ว. เป็นอิสระแก่ตน, ไม่ขึ้นแก่ใคร.} แต่เพียงในมิติเดียว คือการพ่ายแพ้ของราชธานี (ซึ่งอาจเปรียบได้กับศูนย์กลางประเทศ) ต่อกำลังรบข­องอริราชศัตรูต่างๆ โดยถือว่าเป็นอริราษฎร์ศัตรูด้วย เพราะได้รับการปลูกฝังกันเป็นนัยว่า หากไม่มีราชก็ไม่มีราษฎร์ จนลืมนึกกันไปว่า หากไม่มีราษฎร์ไว้ระบุความเป็นเบื้องล่าง ก็ย่อมไม่อาจมีราชให้ได้ระบุความเป็นเบื้องบน

แต่หากดูตามความหมาย (ในพจนานุกรม) ของคำว่าเอกราชแล้ว เราก็จะพบว่า ทันทีที่ถือกำเนิดขึ้นมา เราทุกคนล้วนไม่มีเอกราชในตัว เพราะเราไม่ได้มีอิสระในทุกสิ่ง เรามีแต่อิสระที่ถูกกำหนดไว้ให้โดยรัฐ โดยอยู่ในรูปสิทธิหน้าที่ของพลเมืองตามกฎหมายเท่านั้น และจะได้รับการคุ้มครองหรือลงโทษตามกฏหมาย แล้วแต่ว่าเราเป็นผู้ละเมิดหรือถูกละเมิด และสิ่งที่รัฐกำหนดนั้น อาจอยู่ในรูปความเชื่อร่วมของสังคม ที่ถูกปลูกฝังร่วมกัน อันสามารถกลายเป็นมาตรฐานของสังคม และทำให้คนส่วนใหญ่ในสังคมเชื่อว่า ตนสามารถมอบ “บทลงโทษทางสังคม” (Social Sanction) ในรูปแบบต่างๆแก่ใครก็ตาม ที่มีความคิดเชื่อผิดแผกไปจากนั้น

จึงพอจะทำให้เข้าใจได้ว่า สำหรับรัฐแล้ว เอกราชของชาติคือเอกราชของชน แต่เอกราชของชนนั้น ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นเอกราชของชาติ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น นั่นก็เป็นเพราะ “ตน” ในความหมายของเอกราชนั้นไม่ได้หมายความถึง “Individual” หากแต่หมายถึง “ประเทศ” หรือ “เมือง” หรือ “รัฐ” ใดใดก็ตามที่คอยปกครอง “Individual” ที่อยู่รวมกันอีกที ซึ่งเป็นที่น่าสนใจว่า การที่ Autonomy มีคำเรียกเป็นภาษาไทยว่า “เอกราช” ที่มาจาก “เอก+ราชา=ราชาองค์เดียว” ย่อมเป็นไปได้ว่า คำว่า “เอกราช” แบบไทยนั้น สร้างขึ้นภายใต้ความคิดเชื่อของผู้มีอำนาจ ว่าคือการอยู่ร่วมกันภายใต้การปกครองของราชาพระองค์เดียว ซึ่งก็หมายความว่า หากจะมีเอกราช เราต้องมีพระราชาสูงสุดเพียงพระองค์เดียว และจะต้องมิทรงอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐ หรือประเทศอื่นใด

เราจึงคุ้นชิน กับเอกราชที่เกิดขึ้นแต่เมื่อมีการเปรียบปะทะ กับอำนาจรัฐที่มาจากนอกประเทศ แต่ยากจะรู้สึกคุ้นชิน หรือทำใจยอมรับ กับการเรียกร้องเอกราช ที่มาจากกลุ่มชาติพันธุ์ที่แตกต่าง (คนกลุ่มน้อย, คนชายขอบก็ว่า) ภายในประเทศ ในขณะที่รัฐเอง ก็ให้คำจำกัดความเดียว ต่อการเรียกร้องเอกราชของกำลังชนในประเทศนั้น ว่าเป็นความพยายามเพื่อ “แบ่งแยกดินแดน” โดยมิเคยเปิดเผยสาเหตุที่แท้จริงของความต้องการนั้น หรือที่เปิดเผยออกมา ก็ยังเป็นเหตุผลแบบที่รัฐอยากให้เป็น อยากให้ทุกคนเชื่อว่าเป็น แต่มิยอมเปิดเผยความจริง ในส่วนที่เป็นการกระทำของรัฐแต่โบราณนานมา หรือแม้แต่ในปัจจุบัน ว่าเพราะได้เคยไปทำสิ่งใดไว้หรือไม่ จึงทำให้เกิดการเรียกร้องเอกราชนั้นขึ้น

จึงควรได้รับรู้กันว่า การเปิดเผยความจริงต่อสื่อ แต่เฉพาะความจริงในส่วนที่รัฐต้องการให้รับรู้ หรือเฉพาะความจริงในรูปแบบที่รัฐต้องการให้รับรู้ ก็เรียกได้ว่าเป็นการควบคุมสื่อแบบหนึ่ง โดยหวังผลเป็นการควบคุมประชาชน ให้อยู่ใต้อำนาจรัฐอีกที

ผมคงไม่ลงรายละเอียด ถึงความเป็นมาของทฤษฎีเรื่องการแบ่งแยกดินแดน เพราะมีผลงานทางวิชาการมากมาย ที่พูดถึงความเป็นจริงของสิ่งที่รัฐ (ในขณะนั้น ซึ่งผมไม่รู้ว่ารัฐในขณะนี้มีความตื้นลึกหนาบางในความรู้เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวแค่ไหน) เรียกว่า “กบฎดุซงยอ” ที่รัฐใช้อัตวิสัยโยงเข้าว่าเกี่ยวข้องโดยตรงกับ “ฮัจญีสุหลง” มุสลิมหัวก้าวหน้าผู้เป็นเจ้าของ “ข้อเรียกร้อง 7 ประการ” และหายอย่างตัวลึกลับไปพร้อมกับบุตรชายคนโตและพรรคพวก หลังจากตำรวจสันติบาลเรียกไปพบที่สงขลา (13 สิงหาคม 2497) โดยข้อเรียกร้องดังกล่าว มีใจความเพื่อความเป็นเอกราชทางการปกครอง ที่สอดคล้องกับรูปแบบความเชื่อทางศาสนา และวัฒนธรรมท้องถิ่นของชาวมลายูมุสลิม ซึ่งไม่ได้รับจากรัฐไทย ทั้งในด้านความเข้าใจและการปฏิบัติใช้ อย่างถูกต้องเพียงพอ และสม่ำเสมอ (ความผันผวนทางการเมืองเป็นสาเหตุหลักประการหนึ่ง และจงอย่าลืมว่า การเมืองนั้นขับเคลื่อนโดยคน เช่นนั้นแล้ว ความไม่จีรังสอดคล้องนั้นย่อมเป็นผลจากทรรศนะของคน ผู้มีอำนาจขับเคลื่อนการเมือง โดยแรงขับที่รุนแรงที่สุดน่าจะเป็นแนวคิดในเรื่องของนโยบายสร้างชาติ) และข้อเรียกร้องดังกล่าว ยังทำให้ฮัจญีสุหลงตกอยู่ในสถานะจำเลยในคดี “ขบถแบ่งแยกดินแดน” อีกด้วย

และคงไม่พูดถึงเรื่องราวการสร้างชาติ ด้วยการกระชากการแต่งกายแบบมุสลิม หรือแม้แต่แบบไทยเดิมทิ้ง แล้วให้แต่งกายแบบฝรั่งในทศวรรษค.ศ. 1940 - 1950[2] เพื่อแสดงความเป็นไทยอารยะ หรือพรบ.การศึกษา ที่ออกมาเพื่อสร้างการศึกษาแบบไทย (ภายใต้ความเป็นวิทยาศาสตร์แบบฝรั่ง) ขึ้นแทน โดยมิทันคำนึงว่าจะเป็นการคุกคามปอเนาะ หรือเรื่องการยกเลิก “ดะโต๊ะยุติธรรม” (ศาลอิสลาม) เพื่อใช้ระบบยุติธรรมแบบไทยแทน

หรือคงไม่พูดถึงเรื่องราวใกล้ตัวทางเวลา แต่ไกลตัวทางภูมิภาค หรือทางความสนใจ อย่างเรื่องการหายตัวลึกลับของผู้ต้องสงสัยจำนวนนับร้อย หลังเหตุการณ์ปล้นปืนเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2547 เรื่องความตายมากมายที่ยังคงคลุมเครืออยู่ในมัสยิดกรือเซะ และการปฏิบัติต่อผู้ถูกจับกุมในกรณีตากใบ (ที่น่าทึ่งราวกับเป็นการสะกดจิต กับปฏิบัติการราวเห็นว่าคนเหล่านั้นไร้ชีวิต กระทั่งมีผู้ถูกจับกุมส่วนหนึ่งพ่ายแพ้ต่อการสะกด ตกต้องกลายเป็นร่างไร้ชีวิตขึ้นมาจริงๆ) เพราะเหล่านั้นล้วนสามารถหาอ่านได้ไม่ยาก หากตกอยู่ในฐานะข้อมูลที่ได้รับความสนใจเพียงพอ และเยอะแยะมากมาย จนผมไม่อาจระบุชื่อเจ้าของผลงานได้หมด และยังไม่อาจอ่านได้ครบหมดเช่นกัน (แต่เป็นที่เชื่อได้เลยว่า เมื่อได้อ่านแล้ว ผู้อ่านย่อมได้รับมุมมองความคิดที่แตกต่าง หรือแม้กระทั่งความจริงที่แตกต่าง จากที่เคยรับรู้กันมาผ่านสื่อต่างๆอย่างแน่นอน)

จุดร่วมหนึ่งที่มองเห็น ทั้งจากมวลเหตุการณ์ดังกล่าว หรือเหตุการณ์อื่นๆ ที่อาจยิบย่อยถึงระดับชีวิตประจำวัน เพียงความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่งระหว่างบุคคล ผมก็พบว่า ความเป็น “ชาตินิยม” ที่วิ่งผ่านกาลเวลามายาวนาน เป็นปัจจัยสำคัญหนึ่ง ที่นำมาซึ่งปัญหาหลายๆประการในรัฐ ในสังคม หรือเพียงหน่วยเล็กๆอย่างชีวิตของผม เช่น “มึงเป็นพม่าเรอะ?” เป็นต้น

แม้กระทั่งขณะที่นั่งเขียนอยู่นี้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลใจอยู่ลึกๆว่า ความของสิ่งที่เขียนนั้น จะไปเหยียบเอา “ตาปลาชาตินิยม” ที่เท้าไทยของใครเข้าหรือไม่

อันที่จริง ไม่ใช่เพียง “เอกราช” เพราะแม้แต่ “ความเป็นไทย” จะเป็นสิ่งไหนได้บ้างนั้น เราก็ยังรู้ขึ้นมาได้โดยเมื่อมีใครมากำหนด ยิ่งในสังคมที่มีความซับซ้อน ปะปนกันของความหลากหลายทางวัฒนธรรมอย่างในทุกวันนี้ ย่อมยิ่งยากจะบอก ว่าสิ่งใดอันไหนที่เป็นไทยแท้ จึงต้องมีผู้ใหญ่ไทยที่ใส่สูท หรือแต่งกายแบบตะวันตก ห่อหุ้มไว้ภายในซึ่งชั้นในแบบตะวันตก หรือลึกกว่านั้นคือความคิดแบบตะวันตก ือสนับสนุนายในซึ่งชั้นในแบบตะวันตก ออกมาท้วงถามหา หรือสนับสนุนความเป็นไทยแท้แบบที่ตนว่าอยู่เป็นนิจ

และมีอยู่บ่อยครั้ง จนผมรู้สึกว่ามันเป็นประจำ ที่เมื่อคิดอยากจะปลุกสำนึกความรู้สึกรักชาติกันขึ้นมาทีไร ก็จะต้องมีการรำลึกลำเลิก ถึงบุญคุณว่าด้วยชีวิตเลือดเนื้อที่ (ว่ากันว่า) บรรพบุรุษได้ทาไว้ในประวัติศาสตร์ จนผมสงสัยว่า เป็นไปไม่ได้เลยหรือ หากเราจะปลุกจิตสำนึกความรักชาติ โดยยึดเอาจากสิ่งดีรอบตัวที่มีในปัจจุบัน หรือเพราะปัจจุบันนั้นไม่มีสิ่งดีที่ว่า เลยต้องไปขอความช่วยเหลือจากบรรพบุรุษกันร่ำไป

แต่ถ้าจะพูดถึงสิ่งดีของชาติ ที่ทุกวันนี้ยังมีอยู่อย่างชัดเจน และควรรักษาไว้ด้วยใจมั่นถึงขั้นชาติพลี ก็คงไม่พ้นสามสถาบันหลัก “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” ซึ่งเป็นแกนอุดมการณ์ชาตินิยมเดิม ที่อยู่มาตั้งแต่สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และปัจจุบัน มักตกอยู่ในฐานะ “Demagogic Weapon” อาวุธล่อหลอกที่ใช้อคติอันเปราะบางเป็นตัวนำวิถี ให้เหล่า “เดมาก็อก”*** ใช้ในการฟาดฟันศัตรูทางการเมืองเสียมากกว่า ดังเช่นที่เราจะเห็นคำว่า “ขายชาติ” หรือ “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ถูกใช้กันเกร่อในช่วงเวลาหนึ่ง โดยเฉพาะกรณี “หมิ่นฯ” จะเห็นได้บ่อยมาก

[*** Demagogue: กลุ่มคนที่ช่วงชิงพื้นที่ทางอำนาจโดยใช้อคติความเชื่ออันเปราะบางเป็นตัวเหนี่ยวนำ พลิกย้ายถ่ายโอนกำลังส่วนใหญ่ของผู้คนมาเป็นกำลังสนุบสนุนของตน]

ภายใต้พระราชดำรัสเมื่อปลายปีพ.ศ. 2548 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่กระแส “หมิ่นฯ” กำลังร้อนแรง องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ได้ทรงดำรัสไว้เป็นความทำนองว่า “สามารถวิพากษ์วิจารณ์พระองค์ได้ตามจริง” (แม้ความจริงแล้ว อาจจะเป็นพระบรมราชานุญาตเพื่อบอกคนบางคนในเวลานั้น ให้รู้จักสำเหนียกสถานะตนก็ตาม) ผมสงสัยเป็นหนักหนาว่า แล้วระหว่างผู้ที่ติเพื่อก่อ วิจารณ์เพื่อความก้าวหน้า กับฝ่ายที่กล่าวหาว่าฝ่ายติฝ่ายวิจารณ์นั้นกระทำการ “หมิ่นฯ” นั้น ฝ่ายใดกันแน่ ที่กำลังทำการ “หมิ่นฯ”

หรือในกรณีการตอบโต้กันทางการเมือง ภายใต้สภาพที่ต่างฝ่ายต่างก็ยึดโยงการกระทำของใครบางคน การกระทำของคนบางกลุ่มว่าเป็นการ “จาบจ้วง” พระบารมี ผมก็สงสัยอีก ว่าฝ่ายใดกันแน่ที่กำลังทำการ “หมิ่นฯ” เพราะถ้าว่ากันตามจริงแล้ว เป็นไปได้สูงว่า ต่างฝ่ายต่างก็ใช้สถาบันกษัตริย์ หรือกระทั่งบังอาจใช้องค์พระเจ้าอยู่หัวมาเป็นข้ออ้าง เป็น “Demagogic Weapon” ในการทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามทั้งสิ้น

มาว่ากันต่อ...

“ชาตินิยม” ที่ถูกสร้างขึ้นนั้น เป็นไปเพื่อสร้างอัตลักษณ์อันเป็น “เอกลักษณ์” ของชาติ โดยเมื่อเป็น “เอกลักษณ์” (น. ลักษณะที่เหมือนกันหรือมีร่วมกัน) แล้ว ก็ย่อมมีความหมายโดยนัยอีกอย่างว่า เป็น “สิ่งที่เรามี เขาไม่มี” เมื่อเป็น “เอกลักษณ์ชาติ” จึงขยายนัยความหมายนั้นต่อไปได้ว่า “สิ่งที่ชาติเรามี ชาติเขาไม่มี” หรือ “สิ่งที่ชาติเราเป็น ชาติเขาไม่เป็น” เพื่อสร้างความแตกต่างอันชัดเจน ออกจากชาติอื่นๆ โดยจุดเริ่มต้นที่ชัดเจนนั้น เกิดขึ้นในสมัยของความหวาดกลัวต่อภัยล่าอาณานิคม แม้ตอนนั้นความเป็น “รัฐชาติสมัยใหม่” จะยังไม่ปรากฏ เพราะ “สยาม” ยังมีการปกครองแบบ “รัฐราชาธิราช” แต่การสร้างความเป็นหนึ่งเดียวแบบชาตินิยมก็ได้ถูกสร้างขึ้น เพื่อบอกแก่คนในชาติ และมหาอำนาจผู้ควบรวมได้ว่า เหตุใดชาติอื่นในละแวกเดียวกันนั้นจึงถูกควบรวม และเหตุใดสยามเราจึงไม่ควรถูกควบรวม เพราะตัวผู้ควบรวม ย่อมอ้างเหตุผลเรื่องการแบ่งปันอารยะ มากกว่าจะพูดเหตุผลแท้จริงอย่างการช่วงชิงทรัพยากร

และหากไปเปิดดูในดิกชันนารีหลายๆเล่ม เราจะพบทันทีโดยมิต้องมานั่งขยายความเพิ่มเติมเองเลยว่า “ชาตินิยม” หรือ “Nationalism” นั้น สามารถหมายความไปในอีกทางว่า “ไม่ยอมรับ” ในชาติอื่น ด้วยคิดว่าชาติของเรานั้นดีกว่า และเป็นความหมายภายใต้การใช้กับตัวบุคคล

ไม่ว่าจะมองในทางไหน ก็ล้วนเป็นชาตินิยมที่เกิดขึ้นโดยการสร้างอัตตา และแบ่งเขาแบ่งเราอย่างชัดเจน ที่แลดูจะมีความย้อนแย้งกับชาตินิยมไทย หากใช้บนฐานพระพุทธศาสนา ที่มักกล่าวกันไปในทางที่ว่า ไทยนั้นเป็นเมืองพุทธ จึงมีความเมตตาเป็นเครื่องมือช่วยจัดการกับปัญหา ช่วยประสานความขัดแย้งต่างๆ และด้วยเมตตาอันช่วยประสานความขัดแย้งได้นี้เอง แม้สังคมเราจะแบ่งแยกเป็นชนชั้นก็ไม่เป็นไร หรือในทำนองที่ว่า พระพุทธศาสนาทำให้พระมหากษัตริย์ไทยทรงมีเมตตา ด้วยทรงปกครองโดยทศพิธราชธรรม จึงทำให้ชาติเจริญก้าวหน้าและผาสุก

ที่ว่าย้อนแย้งนั้นก็เพราะว่า หลักใหญ่ใจความแห่งพุทธศาสนา ที่อยู่เหนือไปกว่าเรื่องเมตตากรุณา (อีกทั้งไทยนั้นมีเพียงเมตตา แต่ขาดกรุณา กล่าวคือมุ่งให้ผู้อื่นเป็นสุขแบบไทยคิด ผลคือเป็นสุขครั้งคราว ด้วยตกหล่นเรื่องทำให้ผู้อื่นพ้นทุกข์อย่างถาวร) ก็คือการสลายอัตตาให้สิ้น เพราะทุกสิ่งนั้นล้วนอนัตตา กับทั้งหากถือไว้ซึ่งอัตตา ย่อมนำมาซึ่งปัญหา เพราะทันทีที่เกิด “ตัวกูของกู” ขึ้นมา ก็หมายความว่าย่อมต้องมี “ตัวมึงของมึง” ขึ้นพร้อมๆกันด้วย ซึ่งย่อมหมายความว่า หากคิดใช้พุทธศาสนาเป็นคุณลักษณะหนึ่งของความเป็นไทย ก็คงไม่อาจเป็นได้ถึงระดับแก่น แต่เป็นได้เพียงตามคำสอนบางประการเท่านั้น จึงไม่ควรนำพุทธมาอ้าง เพราะถือได้ว่าเป็นการบิดเบือนแก่นแท้แห่งคำสอนด้วยกระพี้บางประการ (ผมถือว่าเมตตาเป็นเพียงกระพี้เมื่อเทียบกับแก่นใหญ่อย่างอนัตตา)

ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมไม่ได้เป็นทั้งพุทธ คริสต์ หรืออิสลาม หรือศาสนิกชนอื่นใด เพราะตราบที่ตนไม่อาจปฏิบัติตนได้ถึงแก่นแท้แห่งศาสนาใด ย่อมไม่อาจอ้างเอาตนเป็นชนในศาสนานั้นให้ตัวแก่นแท้ต้องแปดเปื้อน แต่ที่กล่าวราวปกป้องนั้น ผมปกป้องในฐานะที่พุทธเองก็เป็นศาสนาหนึ่ง อันมีคุณูปการต่อโลกเฉกเช่นศาสนาอื่น จึงมิควรถูกทำให้แปดเปื้อน ด้วยเหตุผลทางการเมือง (จะกล่าวต่อไป ว่าเหตุใดจึงเป็นการเมือง)

หรืออาจจะมีความเป็นไทยในแบบที่ว่า ทุกคน ไม่ว่าเป็นใคร ชนชาติใด ศาสนาใด ล้วนได้รับความเป็นไทยอย่างเท่าเทียมกันภายใต้พระบรมโพธิสมภาร หรือความเป็นไทยแบบรัชกาลที่ 6 ที่ทรงผนวกรวมไว้ใต้ความจงรักภักดีอันมีต่อองค์พระมหากษัตริย์ และพระพุทธศาสนา

จึงจะเห็นได้ว่า เรามีการสร้างชาติ ภายใต้การยึดโยงจิตใจ ความคิด รูปกระบวนวิธีคิด ให้ผูกติดอยู่กับสิ่งใดใด อันเป็นภาพลักษณ์ที่ใหญ่กว่ามิติเล็กๆใกล้ๆตัว แต่ยิ่งใหญ่อย่างเพียงความแตกต่างทางความคิด ทั้งยังถูกทำให้เชื่อว่า หากเชื่อมั่นในสิ่งใหญ่ที่ยึดโยงใจไว้นั้นแล้ว ชาติก็จะอยู่ได้ เช่นความคิดอย่าง “เชื่อผู้นำ ชาติพ้นภัย” ของ “จอมพล ป. พิบูลสงคราม” เป็นต้น

หากได้ศึกษาถึงความเป็นมาของ “ชาตินิยมไทย” แล้วก็จะพบว่า มักถูกสร้างขึ้นมาอย่างรีบร้อน โดยมีปัจจัยเร่ง หรือปัจจัยบีบคั้นทางการเมือง ทั้งจากภายนอกอย่างการขยายขอบเขตครอบครองดินแดนของชาติมหาอำนาจในแต่ละยุคสมัย จนยุคสมัยหนึ่งต้องเข้าร่วมกับญี่ปุ่น ประกาศสงครามกับฝ่ายพันธมิตร ด้วยคาดผิดว่าญี่ปุ่นจะชนะ และพาตนเกาะกระแสมหาอำนาจเพื่อรอดพ้นจากภัยคุกคามจากตัวญี่ปุ่นเอง และจะได้เป็นใหญ่ไปด้วย แต่เมื่อไม่เป็นดังคิด ญี่ปุ่นแพ้สงคราม ก็ต้องหันมาปลุกผีสำนึกดั้งเดิมว่าเป็นไทยคือมี “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” เพื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์ โดยบอกว่าคอมมิวนิสต์จะทำลายสถาบันทั้งสามเสียสิ้น (ซึ่งเป็นความจริง)

หรือปัจจัยภายใน อย่างการเรียกร้องรัฐธรรมนูญในสมัยรัชกาลที่ 6 หรือการสร้างมโนทัศน์เรื่องชาติไทย ในแบบที่เป็นชาติของราษฎรในรัชสมัยเดียวกัน อันเป็นที่กังวลว่าอาจเป็นผลให้นำพาสู่การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจาก Absolute Monarchy เป็น Constitutional Monarchy ได้ และในรัชสมัยเดียวกันอีกนั่นเอง ยังมีความขัดแย้งทางการเมืองภายใน ระหว่างฝ่ายจ้าวและฝ่ายที่ต่อต้านจ้าว (ผมเลือกใช้คำว่า “จ้าว” ที่เป็นภาษาโบราณ ซึ่งมีความหมายเดียวกับ “เจ้า” เพราะในแง่ของการออกเสียง และความรู้สึกส่วนตัวแล้ว การใช้คำว่า “จ้าว” ดูจะถูกต้องกว่า “เจ้า”) หรือการขยายตัวของคนจีนในสมัยเดียวกัน จนแลดูจะมีอำนาจทางเศรษฐกิจสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งกรณีหลังสุดนี้อยู่ในข่าย “ผู้ที่ถูกทำให้เป็นอื่น” เพื่อสัมฤทธิ์ผลแห่งชาตินิยม

ด้วยความเร่งรีบ อันเป็นผลจากความผันผวนทางการเมืองดังกล่าว กระบวนวิธีการสร้าง “ชาตินิยมไทย” จึงออกมาในรูป “หักหาญกลืนกินซึ่งวัฒนธรรมอย่างเอาแต่ใจ” แทนที่จะเป็น “ผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมด้วยความเข้าใจ” เพราะต้องรีบสร้างความเป็นหนึ่งเดียวให้เร็วที่สุด

(สามารถดูการเปลี่ยนแปลง และสาเหตุแห่งการเกิดขึ้นของชาตินิยมในแต่ละยุคสมัยได้จากตารางตอนท้าย)

ส่อแสดงถึงการไม่รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา ตัวเองเต้นเร่าๆ ขยาดหวาดกลัวกับการกลืนกินดังกล่าว แต่ก็ยังใช้การกลืนกินดังกล่าวจัดการกับความแตกต่างภายใน เพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดอันเกิดมีแต่ความหวาดกลัวต่อภัยจากภายนอก

และจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ หากเหตุการณ์ความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จะได้รับการต่อต้านจากผู้คนแทบทั้งประเทศ เมื่อได้รับการเสนอว่าเป็นการกระทำของ “โจรก่อการร้าย” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ “แบ่งแยกดินแดน”

จนทำให้ผมสงสัยว่า หากในวันนี้ เราได้รับรู้ความจริงโดยถ้วนทั่วกันว่า ในความรู้สึก อันเกิดแต่การเสนอข่าวของภาครัฐ ว่า “เรา” เจ็บไปเยอะ “เรา” ตายไปเยอะ แต่พวก “เขา” เองก็ตายไปเยอะ เจ็บไปเยอะ และเจ็บมาอย่างยาวนานกว่าภายใต้การเรียกร้องสิทธิมนุษยชน ซึ่งความรุนแรงในทุกวันนี้คือปลายทาง คือผลจากการที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมแล้ว คนส่วนใหญ่ก็อาจยังมีทัศนคติต่อมวลเหตุการณ์ดังกล่าวไปในแบบเดิมๆ เพราะยังคงตกติดอยู่ในวังวนความเชื่อที่ว่า ชาติไทยเป็นองค์ผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่กว่า ในเมื่อเชื่อกันว่า ครั้งหนึ่งเราเคยรบกับพม่า (ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์นิพนธ์รวมศูนย์เช่นกัน) เพื่อชาติแล้ว จะต้องรบกับคนกลุ่มหนึ่งในพื้นที่ดังกล่าวบ้างจะเป็นไร

ถึงตรงนี้แล้ว ก็อยากจะขอยกเหตุการณ์ช่วงนี้ ที่แลดูเกี่ยวข้องโดยตรง ว่าน่าจะเป็นปัญหาหนึ่งจาก “ชาตินิยมไทย” ขึ้นมาประกอบ

เพราะเรื่องความตายของครูจูหลิง ที่เข้ากระบวนการทำให้เป็นอนุสรณ์ทรงจำ ผ่านทางการยื้อชีวิตอย่างยาวนาน อัครฐานแห่งงานศพ เอิกเกริกเกียรติยศประกาศ ก็อาจตกต้องกลายเป็น “เครื่องมือใหม่” ของ “ประวัติศาสตร์นิพนธ์รวมศูนย์” เพื่อปลุกกระแสให้ “ชาตินิยมรวมศูนย์” ร้อนแรงขึ้นมาอีก

เรื่องความรู้สึกต่อความตายของครูจูหลิงนั้น ก็สามารถส่อแสดงถึงความตื้นเขิน ขาดความซับซ้อน ในการใช้มิติความคิดของคนส่วนหนึ่ง ต่อเหตุการณ์ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีพื้นฐานการคิดแบบชาตินิยมไทยได้อยู่ไม่น้อย

อนึ่ง เพราะเราได้มีสถานะตั้งต้นแล้วว่า ผู้ถูกฆ่าคือ “ครู” และผู้ฆ่าคือ “โจร” และมีอุปลักษณ์สากลที่ค่อนข้างชัดเจนว่า “ครู” คือตัวแทนของ “ความดี” และ “โจร” คือตัวแทนของ “ความชั่ว” ซึ่งเมื่อโยงใยเข้ากับมิติทางศีลธรรมแล้วจะทำให้เห็นว่า ในเกมการฆ่านี้ ฝั่ง “ที่ถูกเรียกว่า” โจรนั้นมีแต่เสียกับเสีย และฝั่ง “ครู” นั้น แม้ต้องเสียชีวิตไป แต่ในเชิงของผลลัพธ์แล้วมีแต่ได้กับได้ คือไม่ว่าจะฆ่าหรือถูกฆ่า “ครู” ย่อมได้รับการประทับตราว่าเป็น “วีรชน” ในขณะที่ฝ่าย “โจร” ไม่ว่าจะฆ่าหรือถูกฆ่า สถานะก็ยังคงเป็น “โจร” ถ้าเป็นฝ่ายฆ่า คนก็ยิ่งสำทับความเป็น “โจร” ใส่ให้มากมายยิ่งขึ้น แต่ถ้าถูกฆ่า ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้ว หรือกระทั่ง “อุ้มเงียบฆ่าเงียบ” ก็อาจได้รับการหรี่ตามองว่าเหมาะสมแล้วเช่นกัน

จึงมักได้รับฟังแนวทรรศนะที่ว่า เหตุที่ต้องฆ่าครู เผาโรงเรียน ก็เพราะเหล่านั้นเป็นอุปลักษณ์แห่ง “ความดี” จึงเป็นการปรกติ ที่ “โจร” อันถืออุปลักษณ์แห่ง “ความชั่ว” จะต้องฆ่าและทำลาย เพราะจะได้ไม่มีสิ่งใดมาคอยสร้างเสริม และต่อยอด “ความดี”

นั่นเป็นการมองเพียงในแง่ศีลธรรม...ซึ่งคิดว่าน่าจะตื้นเขินเกินไปสำหรับกรณีดังกล่าว

เมื่อลงลึกไปในระดับวัฒนธรรม หากความคับแค้นในอดีต ของมลายูมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังคงโยงใยกับเหตุการณ์ปัจจุบันในพื้นที่ดังกล่าว เราจะพบว่า เมื่อตัดเรื่องของความรุนแรงในพฤติกรรมไปแล้ว การฆ่าครู เผาโรงเรียนนั้นก็ย่อมไม่ใช่การฆ่า ไม่ใช่การเผาทำลาย ที่คุ้นชินกันในความหมายธรรมดาทั่วไป หากแต่เป็นการกระทำเชิงสัญลักษณ์ สื่อแสดงถึงการต่อต้าน ประกาศไม่รับเอาสิ่งซึ่งรัฐจัดให้ ด้วยเชื่อว่ามีสิ่งดีอื่นที่สำคัญเหนือกว่า ซึ่งการกระทำเชิงสัญลักษณ์ดังกล่าว ภายใต้ความเชื่อดังกล่าว น่าจะถือเป็น “อารยะขัดขืน” (Civil Disobedience) ได้ แม้ว่ารูปแบบการขัดขืน จะออกมาในลักษณะที่ถูกระบุได้ว่า ไม่มีแม้เสี้ยวกระผีกของความเป็นอารยะก็ตาม

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ตัวผู้เขียนยังไม่อาจมองเห็นชัดเจนว่า แนวคิดรากฐานอันเป็นที่มาของ “อารยะขัดขืน” ดังกล่าวนั้น เป็นเพียงความคิดของกลุ่มที่ถูกเรียกว่า “ผู้ก่อการร้าย” หรือล้วนเป็นของมลายูมุสลิมทั้งหมดในพื้นที่

แต่เดิมนั้น รูปแบบการเรียนการสอน (ตามแบบศาสนาอิสลาม) ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้จะมี “ตาดีกา” (โรงเรียนสอนศาสนาเบื้องต้นสำหรับเด็ก) และ “ปอเนาะ” (โรงเรียนสอนศาสนาสำหรับบุคคลทั่วไป เรียนได้ตั้งแต่เยาวชนจนแก่เฒ่า และ เรียนฟรี สอนฟรี อยู่ฟรี) เพราะในศาสนาอิสลามนั้น การศึกษาและศาสนาจะไม่แยกออกจากกัน อิสลามนั้นเน้นไปที่การรู้จัก “วิถีชีวิต” ของตัวเอง ก่อนที่จะสร้าง “ทักษะชีวิต” ให้ตัวเอง[3] ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับชีวิตปรกติแล้ว ตัวผู้เขียนเข้าใจว่า เป็นการสอนให้เป็น “สัตว์มนุษย์” ที่สมบูรณ์พร้อมในความดี ก่อนที่จะพาตัวเองสู่ความเป็น “สัตว์เศรษฐกิจ” หรือ “สัตว์การเมือง” ในส่วนของปอเนาะนั้น จึงไม่ได้สอนแต่เฉพาะเรื่องศาสนา แต่ใครใคร่เรียนสิ่งใด ก็ให้หาตำรามา แล้วโต๊ะครูก็จะสอนให้ตามตำรานั้น จึงน่าจะบอกได้ว่า เป็นจุดประสงค์ในการสร้างคน เพื่อให้เติบโตขึ้นมาแบบ “คุณธรรมนำความรู้” มาตั้งแต่ต้น

ส่วนการศึกษาแบบไทย (ที่มีการเรียนการสอนแบบวิทยาศาสตร์ฝรั่ง) ตามแบบรัฐชาติแบบใหม่ แม้ที่ปลายทางปัจจุบันนี้ จะมีการพูดถึงการสร้างคนแบบ “ความรู้คู่คุณธรรม” ขึ้นมาอยู่บ้าง แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ก่อนจะมาถึง “กาละ” อันเน้นย้ำไปยังจุดดังกล่าว เราสร้าง “เทศะ” ทางการศึกษาขึ้นมาเพื่อถมเต็มพื้นที่รกร้างทางความรู้ โดยมีโรงเรียน หรือสถานศึกษาเพื่อแสดงถึงอุปลักษณ์ของความรู้ ด้วยคาดหวัง และเชื่อ (ตามแบบฝรั่ง) ว่า การศึกษานั้นจะช่วยเจือจาน ค้ำจุน เกื้อหนุนความเจริญของชาติ ให้ก้าวทัดเทียมเท่าเหล่าประเทศอารยะ หรือถ้าย้อนไกลไปกว่านั้น ก็ต้องบอกว่า “กาลเทศะ” ดังกล่าวเป็นไปเพื่อผลิตคนออกมารับใช้ระบบราชการ รับใช้การปกครองแบบลำดับขั้นแนวตั้งตามระบอบ Absolute Monarchy ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นว่า เป้าประสงค์เริ่มต้นของการศึกษาไทยนั้นเป็นไปในสองลักษณะหลักคือ 1. เพื่อรับใช้สืบสานรักษาไว้ซึ่งอำนาจ และ 2. เพื่อสร้างความเจริญ (ซึ่งทั้งสองประการล้วนเป็นแบบ Central Region Centricism และปัจจุบัน ความเจริญนั้นส่อไปในทางวัตถุมากขึ้น) ส่วนคุณธรรมนั้น เข้าใจว่าคงถูกแยกออกมาให้เป็นหน้าที่ของศาสนา หรือวิชาพระพุทธศาสนาอีกที

และอีกสิ่งที่ถูกแทรกสอดไว้ คือเป็นช่องทางให้ทำการลื่นไหล “ชาตินิยมไทย” ลงไปในแบบเรียน หรือแม้แต่ในตัวครูผู้สอนเอง เพราะล้วนสามารถลงไปถึงตัวผู้เรียนได้

เมื่อดูถึงความแตกต่างแห่งเป้าประสงค์ ระหว่างการศึกษาแบบอิสลาม และการศึกษาแบบไทยฝรั่งและวิธีการนำการศึกษาไทยแผ่ผ่านไปกับรูปแบบการใช้ชาตินิยมไทยดังกล่าวแล้ว จึงเข้าใจได้ไม่ยากว่า เหตุใดการศึกษาหรือความรู้ อันเป็นอุปลักษณ์ของสถานศึกษาไทยนั้น จะสามารถบีบคั้นให้ชาวมลายูมุสลิมรู้สึกว่าทำให้ตัวเองถูกกลืนกินอัตลักษณ์ ซึ่งการกลืนกินที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือ การเรียนเป็นภาษาไทย และอยู่ภายใต้ระบบการศึกษาไทย ซึ่งยังคงเป็นปัญหาแก่มลายูมุสลิมในสามจังหวัดภาคใต้มาจนทุกวันนี้

แม้ปัจจุบัน จะมีการให้ความใส่ใจปอเนาะมากขึ้น โดยมีการจดทะเบียนรับรอง แต่ความใส่ใจที่มากกว่า กลับเป็นการมองว่าปอเนาะเป็น “แหล่งซ่องสุมเพาะพันธุ์ผู้ก่อการร้าย” ไปเสีย อีกทั้งปัญหาที่รัฐยังไม่ได้ทำการแก้ไขก็คือ การรับรองเทียบระดับวุฒิ ว่าผู้จบการศึกษาจากปอเนาะในแต่ละระดับนั้น เทียบเท่าได้กับการจบการศึกษาในสายสามัญที่ระดับใด (เช่นจบปอเนาะระดับ 10 กับจบมัธยม 6)[4] เพราะการที่รัฐไม่รับรองนั้น ทำให้มีปัญหาผู้จบการศึกษาจากปอเนาะ ไม่สามารถเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาสายสามัญได้ ต้องไปศึกษาจากสถาบันอุดมศึกษาอิสลามนอกประเทศ อีกทั้งจบแล้วก็ไม่อาจกลับมาทำงานในประเทศได้[5] เนื่องด้วยทางการไม่ให้การรับรอง เพราะไม่ได้มีวุฒิตามสายการศึกษาสามัญ นั่นหมายความว่า แม้จะปฏิเสธด้วยการไม่เข้ารับการศึกษาแบบไทย แล้วร่ำเรียนตามแบบดั้งเดิมของตัวเอง แต่เมื่อจบแล้ว ก็ไม่อาจทำงานในประเทศไทย

อย่าพูดนะครับว่า “ก็หาปลากรีดยางไปสิ” เพราะการแก้ปัญหาแบบนั้นมันทุเรศ...

รู้สึกว่า ในบทความชิ้นนี้ ผมจะพูดว่า “เราคงปฏิเสธไม่ได้” มาหลายครั้งหลายครา (และมีเกณฑ์จะพูดต่อไป) แต่ว่า เราก็คง “ปฏิเสธไม่ได้” จริงๆ ว่าการศึกษานั้น สามารถนำพา “การครอบงำ” ไปสู่กลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง และค่อนข้างจะได้ผลสำเร็จอย่างน่ากลัว เพราะเป็นสิ่งที่ปลูกฝังกันได้ตั้งแต่ช่วงเวลาที่สมองน่าจะยังว่างโล่ง คือวัยเด็ก (น่าแปลกที่ในบางประเทศนั้น ปลูกฝังกันจนเป็นผู้ใหญ่แล้ว สมองก็ยังว่างโล่ง) ยิ่งกับในประเทศที่ยอมรับการปกครองแนวตั้ง ที่ไม่ใช่แนวตั้งเพียงในรูปแบบการปกครองระดับรัฐ แต่ยังมีแนวตั้งตามการปกครองทางวัฒนธรรมประเพณี คือระบบอาวุโส ภายใต้ประเทศแบบนั้น การครอบงำกันด้วยการศึกษาน่าจะยิ่งได้ผลดี กล่าวคือ เพราะความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน หรือแม้กระทั่งในระดับอุดมศึกษา ความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์ (บางท่าน) กับลูกศิษย์ ก็ยังคงโยงยึดอยู่กับระบบอาวุโสแบบ “ตามหลังผู้ใหญ่หมาไม่กัด” เช่นนั้นแล้ว ในการรับการถ่ายทอดเนื้อหาวิชา (รับการครอบงำ) หลายคนจึงตกติดอยู่ภายใต้ระบบอาวุโสในแบบดังกล่าวอย่าง่ายดาย ด้วยมุ่งเน้นการเคารพกันไปที่อาวุโสทางเวลาหายใจที่ยาวนานกว่า ริ้วรอยกาลเวลาบนหนังหน้าที่เยอะกว่า หรือแม้ทางปัญญา ก็ยังเน้นการเคารพไปที่ระดับอาวุโสทางการศึกษาที่สูงกว่า ส่วนเรื่องอาวุโสทางความคิด ซึ่งวัดกันได้จากความกว้างขวางในมิติมุมมองที่มากกว่า และในบางกรณี อายุที่มากกว่าหรือระดับการศึกษาที่สูงกว่าไม่อาจช่วยขยายความกว้างนั้นได้ กลับไม่เน้นกัน

ผมว่าเราไม่ต้องมองไปไหนไกล แค่มองไปในสังคมใกล้ๆตัวอย่างตั้งใจ เราก็จะพบได้ว่า ยังมีคนส่วนใหญ่ ที่เติบโตมากับระบบการศึกษา หลักสูตรการศึกษา เนื้อหาการศึกษาแบบไทย ตกติดอยู่ภายใต้การครอบงำโดยรูปลักษณะของการศึกษาแบบไทย

ดังนั้น หากถามว่าสิ่งใดที่การฆ่าครู เผาโรงเรียนเป็นสัญลักษณ์สื่อถึง ผมเชื่อว่ามันคือ “การครอบงำของไทย” นั่นเอง

ผมเองกำลังนั่งนึกอยู่ว่า ถ้าการณ์มันกลับกันหมด ผมตกเป็นคนไทยส่วนน้อย พูดภาษาไทย เคยเรียนแบบไทย มีศาสนาแบบไทย มีวัฒนธรรมประเพณีแบบไทย มีประวัติศาสตร์แบบไทย แต่อยู่ภายใต้การเรียนการสอนแบบอิสลาม ภาษามลายู วัฒนธรรมประเพณีมลายู ประวัติศาสตร์มลายู ทุกอย่างดำเนินไปภายใต้นโยบายชาตินิยมมลายู และเป็นสิ่งที่ผมถูกบังคับว่าต้องทำตาม ผมก็คงงงๆอยู่เหมือนกัน ว่า “แล้วนี่กูเป็นใคร?” แต่ผมก็อาจถูกกลืนกินได้โดยง่าย หรือโดยเต็มใจ เพราะก็นึกไม่ใคร่จะออก ว่าจะเอาอะไรไปบ่งบอกถึงความเป็นไทย นอกจากแนวคิดชาตินิยมแบบเลื่อนลอยกะปลกกะเปลี้ย ครั้นจะเอาประวัติศาสตร์ไปสู้ ก่นบอกว่า “กูก็มีที่มานะเว้ย!!” ก็ไม่แน่ใจว่าจะมีใครฟังหรือไม่

ทว่า การณ์มันยังไม่กลับกัน เพราะอย่างนั้น ย่อมเป็นไปได้ว่า ความกังขาเมื่อย่อหน้าที่แล้ว กำลังวิ่งวนไปมา ในหัวมลายูมุสลิมที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะในเรื่องประวัติศาสตร์ ที่เขาก็มีของเขาเอง ก็น่าจะชวนงงอยู่ในระดับหนึ่ง ว่าแล้วไอ้ที่อยู่ในแบบเรียนนั่นมันประวัติศาสตร์ใคร แต่ที่แตกต่างกันก็คือ พวกเขาคงรู้ ว่าจะเอาอะไรมาสู้ เพราะแลดูแล้วระดับความเข้มแข็ง และชัดเจนของความเชื่อน่าจะผิดกันอยู่โข แต่ที่ชัดเจนไม่แพ้กันก็คือ เราไม่ได้ให้ความสนใจในประวัติศาสตร์ท้องถิ่นของเขา ซึ่งอาจเพราะถือว่าต้องเอาประวัติศาสตร์การรวมราชธานีของเราเป็นหลัก

เหล่านั้นคือรูปแบบของ “ชาตินิยมไทย”

จึงเป็นที่น่าสนใจว่า ด้วยการสร้างชาติมาแต่ในรูปแบบดังกล่าวมาทั้งหมด จะเป็นไปได้หรือไม่ ที่เมื่อการสร้างชาติในรูปแบบนั้น ได้แทรกซึมเข้าไปในแบบเรียนแล้ว ย่อมเป็นการปลูกฝังความเป็น “Egocentric” หรือการคิดแบบ “เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง” สู่ผู้ร่ำเรียนจากแบบเรียนนั้นไปโดยไม่มีใครรู้ตัว

นำมาซึ่งรูปแบบของการจัดการปัญหาแบบหนึ่ง ที่แฝงฝังอยู่ในตัวเรา หรือกลายเป็นเครื่องมืออย่างจงใจ อันนำมาซึ่งการจัดการกับปัญหาใดใด โดยไม่ยี่หระต่อการละทิ้ง กดเหยียด บิดผันให้เป็นอื่น ซึ่งสิ่งละอันพันละน้อยอื่นใด โดยมีข้ออ้างเพื่อสร้างความชอบธรรมว่า “เราต้องมองไปยังองค์ผลประโยชน์ที่ใหญ่กว่า” จนอาจกล่าวหาได้ว่า ผู้ยังฝักใฝ่ทำตัวเป็นปัญหาส่วนน้อย (อย่างที่ส่วนใหญ่ว่าเขาเป็น) นั้น เป็นเพียงพวกคนเห็นแก่ตัว ที่ไม่รู้จักเห็นแก่ประโยชน์สุขส่วนรวม

เพียงเพิกเฉยต่อเสียงส่วนน้อยนั้น ผมก็รู้สึกว่าเป็น “อัปลักษณูปการ” หนึ่งของ “ประชาธิปไตยฉบับบูดเบี้ยว” (พวกมากลากไป) แล้ว นี่ถึงขั้นกดเหยียดให้เป็นอื่น คงต้องบอกว่าเป็น “อัปรียลักษณูปการ” ของประชาธิปไตยฉบับดังกล่าวทีเดียว จึงแทบไม่ต้องสงสัยเลยว่า ผู้ใหญ่ที่เติบโตมาจากเด็กที่ได้รับการปลูกฝังในทำนองนั้น จะมีท่าทีอย่างไรต่อประชาธิปไตย หรืออำนาจความเป็นส่วนใหญ่ในมือตน หากไม่ได้รับความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับประชาธิปไตยในภายหลัง ซึ่งก็ต้องดูกันต่อไปอีกว่า เมื่อรู้แล้ว เข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว เขาจะยอมรับมันหรือไม่

และทำให้รู้สึกไปว่า อุปนิสัยไทยแท้สองข้อหลัง ตามแบบสมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพที่ว่า “ความปราศจากวิหิงสา” และ “ความฉลาดในการประสานประโยชน์” นั้น คงดับสูญสิ้นไปพร้อมกับ “เสมือนสัมบูรณอัสดง” ของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช (อันที่จริงก็ได้สูญหายไปก่อนหน้านั้น คือในรัชสมัยต่อมาแล้ว) แต่หรืออันที่จริง ก็ยังคงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของอุปนิสัยไทยสองประการนั้นอยู่ หากแต่ทั้งหมดต้องเป็นไปภายใต้อุปนิสัยในข้อแรกที่ว่าคือ “ความจงรักในอิสรภาพของชาติ”

ในทางปฏิบัติแล้ว สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงทำได้ดีในระดับหนึ่ง คือทรงเน้นที่ความเป็น “เมืองไทย” มากกว่า “ชาติไทย” ด้วยทรงเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย จึงทรงเข้าใจในความหลากหลายทางชนชาติ ของผู้คนมากมายที่อาศัยร่วมอยู่ใต้ร่มไทยเป็นอย่างดี จึงทรงรู้ชัดว่า หากเน้นความเป็นไทยที่ชาติ ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงการต่อต้านจากความเป็นชาติของชาติพันธุ์อื่นๆ ที่ถูกปลุกขึ้นมาพร้อมกันได้[6]

แม้ต่อมา ชาตินิยมไทยแบบพระองค์จะหายไป ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ หากอุปนิสัยที่ทรงดำรัสว่าเป็นไทยแท้ดังกล่าว จะตายไปพร้อมกับความผันผวนทางการเมือง

แต่นั่นก็เป็นการย้ำชัดว่า “ชาติไทย” หรือ “ความเป็นไทย” นั้น “ไม่เคยมีอยู่จริง” หากเป็นเพียง “เอกมัยจินตนาการ” หรือ “จินตนาการอันมีลักษณะเหมือนกัน” หรือ “จินตนาการร่วม” ที่ถูกสร้างขึ้น ประดิษฐ์เอาตามความคิดอยาก ตามความคิดว่าควร หรือมองในแง่ดีว่าตามความพยายามด้วยอยากเห็นเป็นจริง (ล้วนเป็นแบบ Central Region Centricism) ของผู้มีอำนาจสร้างความเป็นไทยในยุคสมัยนั้นๆจะสามารถประดิษฐ์ได้ โดยมีปัจจัยทางการเมือง ซึ่งบางครั้งก็คาบเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว ซึ่งเป็นตัวกำหนดอยู่เบื้องหลังอีกที

และเมื่อถูกประดิษฐ์ขึ้นมาตามฐานความผันผวนดังกล่าว เมื่อเดินทางผ่านกาลเวลาแล้ว จึงย่อมเป็นไปได้ ที่ความหมายของไทย ที่ถูกผูกติดอยู่กับชาติ จะแตกหน่อต่อขยายไปในหลายลักษณะ และเลือนราง บางเบา จนหาความชัดเจนแท้จริงใดใดไม่ได้เอาเสียเลย

สุดท้ายจึงเป็นเพียงคำๆหนึ่ง ที่มักถูกหยิบขึ้นมาใช้ ตามแต่ว่าตัวผู้ใช้ กำลังคาดหวังจะใช้มันไปในการใด ซึ่งก็มักจะอยู่ในรูปการแบ่งเขาแบ่งเรา แต่ที่หนักหนากว่าคือใช้เพื่อ “เหยียดเขายกเรา” จึงเป็นตัวอย่างที่ดี หากจะกล่าวว่า “สิ่งที่ทำให้คำมีความหมายขึ้นจริงได้ไม่ใช่ความหมายของคำ หากแต่เป็นอุปลักษณ์อันหลากหลายที่ซ่อนเร้นอยู่ในเจตนาของผู้ใช้คำ”

แม้จะมีความเป็นมาที่เปราะบาง แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์แล้ว ย่อมสามารถได้รับการต่อเติมเสริมแต่ง แก้ไขดัดแปลง หรือถึงขั้นถอดรื้อสร้างใหม่ได้ตามความสามารถของนักประดิษฐ์รุ่นหลังๆ

จึงเป็นความสงสัยโดยส่วนตัวว่า เป็นไปได้หรือไม่ ที่จะมีการถอดรื้อชาตินิยมไทยแบบเก่า และสร้างชาตินิยมไทยแบบใหม่ ที่จะได้เป็นแบบไทยแท้ๆที่แท้จริงขึ้นมา ซึ่งหากถามว่า คราวนี้จะให้สิ่งใดเป็นตัวแทน เป็นสิ่งแสดงถึงความเป็นไทย ผมอยากเสนอว่า ก็ให้บอกว่าคือทุกสิ่งทุกอย่าง ในความเปลี่ยนแปลงทั้งในตัวนโยบาย และสิ่งใดใด อันเป็นผลจากนโยบายชาตินิยมไทยแบบเดิมๆที่ผ่านมานั่นเอง ที่เป็น “ความเป็นไทยแท้” หนึ่งในหลายๆประการ อันเป็นผลมาจากคนไทยหยิบมือหนึ่ง และได้รับการสนับสนุนจากคนไทยในกำมือที่เหลืออย่างไม่ลืมหูลืมตา ด้วยไม่เคยได้รับรู้ความจริงเบื้องหลัง หรือความจริงไกลตัว หรือรู้แล้วก็ไม่อาจทำอะไรได้ ด้วยเข้าใจถึงความเป็นผู้ไม่อาจต่อต้านอำนาจเหนือ หรือแม้ไม่ตกติดอยู่ภายใต้การควบคุมของอำนาจเหนือ ก็ยังขยิบหรี่ตามองไป ด้วยมุ่งหวังในสิ่งที่เชื่อว่าเป็น “ประโยชน์ไทย” ที่ใหญ่กว่า โดยลืมนึกคิดไปว่า ด้วยความแตกต่างทางวัฒนธรรมความคิดเชื่อแล้ว ย่อมมีกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ที่มีสิ่งอื่นที่เป็นประโยชน์ใหญ่กว่าความเป็นชาตินิยมไทย ที่แผ่ผ่านมาตาม “การหักหาญกลืนกินซึ่งวัฒนธรรมอย่างเอาแต่ใจ” ซึ่งสิ่งอันใหญ่กว่านั้น อาจหมายถึงความเป็นเอกราชของเขา และหากตัดทิ้งไปซึ่งคำว่าเขาว่าเราแล้ว เอกราชนั้นล้วนเป็นสิ่งที่ทุกคนหวงแหนแสนต้องการเช่นกัน

ผมพอจะเข้าใจ ว่าการควักขี้ในไส้ออกมาเปิดเผย ย่อมทำให้ผู้คนบางส่วน (ส่วนใหญ่) ต้องรู้สึกไม่ดีกับความเป็นไทยแบบเดิมๆที่เคยรับรู้กันมา และคงให้เป็นที่หวั่นเกรง ว่าจะทำให้เด็กเยาวชนคนรุ่นใหม่สูญเสียความภาคภูมิใจในชาติไป

ต่อข้อกังวลดังกล่าว ผมเองเชื่อว่าทุกคนก็น่าจะเห็นกันถ้วนทั่วแล้วว่า ถ้าความเป็นไทยแบบเดิมๆที่เราพร่ำสอนกันอยู่ตามแบบเรียนนั้น สามารถสร้างความเป็นไทยแท้ ความเป็นไทยร่วมได้จริงๆ แล้วเหตุใดจึงยังต้องมีการณรงค์ ท้วงถามถึงความเป็นไทยกันออกมาเป็นระยะอีก

ที่สำคัญก็คือ ในเมื่อเราเองก็คุ้นชินในการมองไปยังประโยชน์ที่ใหญ่กว่า ก็เป็นการควรใช่หรือไม่ หากเราจะมุ่งเป้าประสงค์การสร้างชาติแนวใหม่ ไปที่เด็กเยาวชนคนรุ่นใหม่ ให้หลุดพ้นจากความคิดเชื่อแบบเดิมๆ ให้กลายเป็นเด็กเยาวชนคนรู้ใหม่ เพื่อเติบโตไปเป็นกำลังคนชนส่วนใหญ่ในประเทศภายภาคหน้า และละเลย โละทิ้งไปเสียบ้าง ซึ่งคำความแห่งตัวตนคนรุ่นเก่าที่ตกตายไปแล้ว หรือเข้าใกล้ความดับตายเข้าไปทุกวัน เพื่อได้ค้นพบความยิ่งใหญ่ แห่งความเป็นไทยที่แท้ ที่ใฝ่ฝันหากันมานานเหลือเกิน

เราควรจะให้ผู้คนได้รับรู้สิ่งไม่ดี...เพื่อได้ค้นหาสิ่งดี
เราควรจะให้คนได้รับรู้สิ่งลวง...เพื่อได้ค้นหาสิ่งแท้

เพราะในความเป็นจริง การที่เราได้รู้แล้วแต่แรก ว่าสิ่งใดจริงสิ่งใดแท้ ก็อาจทำให้เรานิ่งนอน หรือถึงขั้นคึกผยองลำพองใจ จนไม่ไขว่คว้าหาทางรับรู้ถึงด้านที่ไม่ดี ด้วยถือว่าด้านที่มีก็ดีอยู่แล้ว จึงละเลยซึ่งการเตรียมการป้องกันสิ่งไม่ดีนั้นไป

เราจึงควรพามนุษย์ให้ตระหนักถึงความจริงที่ว่า ตนกำลังตกติดอยู่ในสภาวะที่ไม่ดี เพื่อปล่อยให้สัญชาตญาณการเอาตัวรอดได้ทำหน้าที่ในการค้นหาสิ่งดี

ไม่เช่นนั้นแล้ว “ไทย” คงไม่มีความหมายมากไปกว่า “ไทย๑ [ไท] น. ชื่อประเทศและชนชาติที่อาศัยอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีพรมแดนติดต่อกับลาว เขมร มาเลเซีย และพม่า” ซึ่งคงเป็นส่วนความหมายที่ชัดเจนที่สุด และเป็นเพียงตัวหนังสือ ที่ไม่อาจบ่งบอกอัตลักษณ์ใดใดได้เท่านั้น ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจนัก ว่าถ้ามันเป็นเช่นนั้นขึ้นมาจริงๆ จะมีใครเดือดเนื้อร้อนใจมากน้อยเพียงไหน

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ยังไม่เคยมีสักครั้งที่แนวคิด “ชาตินิยมไทย” จะอยู่บนพื้นฐานการผสมผสานอย่างเข้าใจ ว่าความเป็นไทยนั้นควรจะถูกสร้างขึ้นอย่างไรจากความแตกต่างอันหลากหลาย ที่อยู่ภายใต้ขอบเขตพรมแดนของ “ประเทศ” (ซึ่งมักสับสนกันว่าคือสิ่งเดียวกับชาติ) ซึ่งหากจะทำการผสมผสานด้วยความเข้าใจกันจริงๆแล้ว เราควรจะทำความเข้าใจกันก่อนว่า ภายใต้ขอบเขตประเทศไทยนี้ มีความแตกต่างทางวัฒนธรรมอยู่อย่างหลากหลาย อันเป็นผลมาจากความหลากหลายของชาติพันธุ์ ที่มาอยู่ร่วมกันภายใต้อาณาเขตประเทศไทยนี้ และในบางพื้นที่นั้น มีความเหนียวแน่นของวัฒนธรรม และความเหนียวแน่นของเอกลักษณ์ ที่สืบเนื่องยาวนานมาแต่อดีต ผูกติดเป็นเนื้อเดียวกับประวัติศาสตร์ของเขาเหล่านั้น จนเรียกได้ว่านั่นเป็น “ตัวตน” ของเขา เหมือนเช่นที่เราเองมีตัวตนอยู่ได้ แม้จะภายใต้ “ประวัติศาสตร์นิพนธ์รวมศูนย์” ก็ตามที

ผมเชื่อว่า เราสามารถสร้างความเหมือน ความเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยที่ยังมี “ความแตกต่าง” นั้นอยู่ใน “ความเป็นหนึ่งเดียวกัน” ที่ฝ่ายผู้ที่มีอำนาจสร้างขึ้นได้ โดยการเว้นพื้นที่ว่างทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ความเชื่อ วิถีชีวิต แก่คนเหล่านั้น ให้พวกเขาได้บรรจุ “ตัวตน” ของตัวเองเข้าไว้ในความเป็นหนึ่งเดียวกันที่ถูกสร้างขึ้นด้วย ไม่ใช่ใช้กำลังของฝ่ายผู้ที่มีอำนาจไปกำหนดแต่เพียงข้างเดียว ว่าภายใต้ความเป็นหนึ่งเดียวที่สร้างขึ้นนั้น พวกเขาจะต้องลบล้าง “ตัวตนเดิม” แล้วยอมรับแต่เพียง “ตัวตนใหม่” ที่ฝ่ายผู้ที่มีอำนาจกำหนดให้ ดังที่เคยได้ทำกันมา คือมุ่งเปลี่ยนทุกสิ่งให้เป็นไทย มุ่งทำให้ความแตกต่างหมดไป โดยกำหนด (บังคับ) ให้ความแตกต่างทั้งหมดนั้น “ปฏิบัติไทย” ตามแบบที่เป็นไทยอย่างที่ “หยิบมือไทย” หนึ่งนั้นคิด

ผมไม่ได้ฝักใฝ่ความเป็นชาตินิยม หรือชาตินิยมไทยแต่อย่างใด หากแต่รู้สึกว่า ถ้ามันเป็นที่ใฝ่ฝันหาของใครหลายๆคน และคิดอยากให้มันก้าวข้ามขอบเขตความเป็นนามธรรม สู่ความเป็นรูปธรรมกันอย่างจริงจังแล้ว เราก็ควรหามันให้เจออย่างถูกวิธี เพื่อได้สร้างความมั่นคงที่แท้จริง ทั้งเชิงนิยามความหมาย และตัวตนให้แก่มัน

ไม่ใช่ปล่อยให้มันสั่นไหวไปมาตามแรงผันผวนทางการเมือง...
อย่างที่...มันเป็นมาตลอด
หรืออย่างที่...ประชาธิปไตยเป็น

ผมเกลียดวิถีชีวิตที่ต้องสั่นไหวไปตามความผันผวนของการเมือง อันเกิดแต่ความเอาแต่ใจของคนหยิบมือหนึ่งเป็นที่สุด

และเชื่อว่าไม่น่าจะมีใครยินดีกับมัน...

“We’re standing on the shoulder of giant. So, jump to the future from its shoulder, not from its dung to its dung.”

Download ตาราง: การเปลี่ยนแปลงและสาเหตุการเกิดขึ้นของชาตินิยมไทยโดยสังเขป [เรียบเรียงจาก สายชล สัตยานุรักษ์, การสร้าง “ความเป็นไทย” กระแสหลัก และ “ความจริง” ที่ “ความเป็นไทย” สร้าง (The Construction of Mainstream Thought on “Thainess” and the “Thruth” Constructed by “Thainess”), ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่]

ปล. (ปัจฉิมลิขิต): งานนี้นี่โคตรเหนื่อยเลย ผมคงไม่คุ้นชินกับการใช้สมองนัก เพราะปรกติจะเขียนโดยใช้สัญชาตญาณ



[1] Ivan Petrovich Pavlov นักสรีรศาสตร์ชาวรัสเซีย เจ้าของทฤษฎี “Classical Conditioning” อันว่าด้วยการจับคู่เข้าด้วยกัน ระหว่างตัวกระตุ้นเร้าที่ทำให้เกิดการตอบสนองตามธรรมชาติกับตัวกระตุ้นเร้าที่เป็นกลาง ภายหลังที่เกิดการเรียนรู้ความเกี่ยวเนื่องระหว่างสองตัวกระตุ้นเร้าดังกล่าวขึ้น -การตอบสนองต่อตัวกระตุ้นเร้าแรกสามารถทำให้เกิดขึ้นได้โดยตัวกระตุ้นเร้าตัวที่สอง- การทดลองที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในชื่อ "สุนัขของพาฟลอฟ" หรือ "Pavlov's Dog" นั้นเป็นตัวอย่างที่พาฟลอฟใช้ในการอธิบายทฤษฎีดังกล่าว ปรกติแล้ว อาหารจะเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้สุนัขเกิดการหลั่งน้ำลาย ซึ่งเป็นการตอบสนองตามธรรมชาติ ลำพังเสียงกระดิ่งจะไม่ทำให้เกิดการตอบสนองนี้ แต่พาฟลอฟพบว่าด้วยการจับคู่ตัวกระตุ้นทั้งสองนี้เข้าด้วยกัน นั่นก็คือ สั่นกระดิ่งในขณะที่ให้อาหารแก่สุนัข เขาสามารถสร้างเงื่อนไขให้สุนัขเกิดน้ำลายไหลเพียงได้ยินเสียงกระดิ่ง

[2] ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ, “การสร้างชาติและนโยบายการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม, 2482-2487”, ใน ความเป็นมาของทฤษฎี “แบ่งแยกดินแดนในภาคใต้ไทย” (กรุงเทพ: โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับคณะทำงานวาระทางสังคม สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2549) หน้า 74

[3] อิสมาอีล ลุตฟี จะปะกียา, อธิการบดีวิทยาลัยอิสลามยะลา, “ปรัชญาการศึกษาที่สอดคล้องกับชีวิตและชุมชนในทัศนะอิสลาม”, ใน “ความรู้และความไม่รู้ ๓ จังหวัดภาคใต้”

[4] ปราโมทย์ แก้วสุข, คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ, “แผนพัฒนาการศึกษาจังหวัดชายแดนใต้”, ใน “ความรู้และความไม่รู้ ๓ จังหวัดภาคใต้”

[5] อิสมาอีล ลุตฟี จะปะกียา, อธิการบดีวิทยาลัยอิสลามยะลา, “ปรัชญาการศึกษาที่สอดคล้องกับชีวิตและชุมชนในทัศนะอิสลาม”, ใน “ความรู้และความไม่รู้ ๓ จังหวัดภาคใต้”

[6] สายชล สัตยานุรักษ์, การสร้าง “ความเป็นไทย” กระแสหลัก และ “ความจริง” ที่ “ความเป็นไทย” สร้าง (The Construction of Mainstream Thought on “Thainess” and the “Thruth” Constructed by “Thainess”), ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

-หนังสือและเอกสารอ้างอิง-

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช 2493, 2525 และ 2542

ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ, ความเป็นมาของทฤษฎี “แบ่งแยกดินแดนในภาคใต้ไทย” (กรุงเทพ: โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับคณะทำงานวาระทางสังคม สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2549)

นิธิ เอียวศรีวงศ์ และคณะ, ความรู้และความไม่รู้ 3 จังหวัดชายแดนใต้ (กรุงเทพ: คณะทำงานวาระทางสังคม สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2549)

สายชล สัตยานุรักษ์, การสร้าง “ความเป็นไทย” กระแสหลัก และ “ความจริง” ที่ “ความเป็นไทย” สร้าง (The Construction of Mainstream Thought on “Thainess” and the “Thruth” Constructed by “Thainess”), ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ที่มาข้อมูลตาราง

สายชล สัตยานุรักษ์, การสร้าง “ความเป็นไทย” กระแสหลัก และ “ความจริง” ที่ “ความเป็นไทย” สร้าง (The Construction of Mainstream Thought on “Thainess” and the “Thruth” Constructed by “Thainess”), ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


 

หมีมองคน: สะเก็ดจากระเบิดความสัมพันธ์

ปล. (ปฐมลิขิต): คำว่า “สื่อ” ทุกคำที่ใช้ในบทความนี้ มีความหมายถึงแต่เฉพาะ “สื่อบันเทิง” หรือ “สื่อที่ทำงานเกี่ยวข้องโดยตรงกับดารา” ไม่เกี่ยวข้องกับ “สื่อธุรกิจ” “สื่อการเมือง” หรือ “สื่อที่ถูกควบคุม” อื่นใด

อันที่จริงแล้ว...มีอีกหลายเรื่องที่อยากเขียน

แต่พอดีว่าเมื่อคืน (17 ม.ค. 2550) ได้ดูรายการ “ราตรีสโมสร” ทางช่อง 3 จับฉ่ายวาไรตี้ที่ช่วงหนึ่งของรายการได้มีการเชิญคุณ “ษา - วรรณษา ทองวิเศษ” และคุณ “เป้ - สุรัช ทับวัง” หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “เป้ ไฮร็อค” มาร่วมรายการ โดยทางรายการได้เชิญคุณวรรณษาออกมาพูด เปิดเผยถึงสาเหตุของเหตุการณ์ “เตียงหัก” โดยไม่บอกว่าได้เชิญคุณเป้มาด้วย ซึ่งคุณเป้นั้นจะอยู่ที่หลังเวที นั่งฟังทุกสิ่งที่คุณษาพูด แล้วจึงออกมาตามคิวที่ทางรายการกำหนด

ผมรู้สึกกระอักกระอ่วน และมากมายจนถึงขั้น “ไม่พอใจ” รูปแบบการ “ขาย” ดังกล่าว จึงต้องขอลัดคิวนำเรื่องนี้มาเป็นประเด็น

ในยุคสมัยที่ “ชีวิตส่วนตัว” ของดารากลายเป็นสินค้า ที่ถูกผลิตออกมาซื้อขายกันอย่างเป็นรูปธรรมนี้ ผมได้ตั้งคำถามกับตัวเองมานานว่า เป็นไปได้หรือไม่ ที่แท้จริงแล้ว เรานั้นก็ยังไม่อาจแยกออกได้สมบูรณ์ ระหว่าง “บทบาทในฐานะนักแสดง” กับ “บทบาทในชีวิตจริง” เพราะแม้บทบาทในชีวิตจริง สังคมก็ยังปฏิบัติกับนักแสดง ด้วยมาตรฐานที่ว่า พวกเขาเป็น “บุคคลสาธารณะ” ไม่ใช่ “บุคคลทั่วไป” ของสังคม ที่มีสิทธิ์จะมีชีวิตหลังกล้อง หลังจากจบบทบาทหน้าเลนส์ในฐานะนักแสดง ด้วยการมีชีวิต “ส่วนตัว” ที่เป็นไปในทางปกปิด เฉกเช่นที่มนุษย์ส่วนใหญ่ต้องการจะปกปิด ไม่เปิดเผยซึ่งสิ่งอันเป็น “ส่วนตัว” ของตัวเอง

กรณีของคุณษาและคุณเป้ เมื่อมองในฐานะว่าพวกเขาล้วนเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา มีเลือด มีเนื้อ มีลมหายใจ มีเสียงหัวเราะ มีรอยน้ำตาเหมือนเรา ผมคิดว่าเขาและเธอมีสิทธิ์อย่างเต็มที่ ที่จะปกปิดชีวิตส่วนตัวของตัวเองไว้ ให้เป็นเรื่องลับๆของคนสองคน ที่เชื่อมโยงกันด้วยรอยร้าวทุกข์ระทมของความสัมพันธ์ และตัวน้อง “เซย์เดย์” ผู้เป็นลูก

ในส่วนของคุณษา ภายใต้ข้อจำกัดที่ว่า เธอไม่รู้ว่าทางรายการจะทำ “Melancholic Surprise” เซอร์ไพร์สุดระทมใส่เธอ ด้วยการเชิญคุณเป้มาร่วมรายการ ผมเชื่อว่า เธอมาภายใต้เงื่อนไขที่ว่า ได้ตั้งใจ หรือทำใจยอมรับแล้วว่า ตนเป็น “บุคคลสาธารณะ” ซึ่งเมื่อผนวกรวมปัญหาชีวิตคู่ที่เกิดขึ้นเข้ากับสถานะดังกล่าว ที่ตกเป็น “ความกังขาสาธารณะ” ถึงสาเหตุแห่งความแตกร้าวที่แท้จริง จึงเป็นไปได้ว่า เธอย่อมต้องอยากออกมาแสดง ในสิ่งที่เรียกกันว่า “การเคลียร์” คือคลายความสงสัยให้กับ “ความกังขาสาธารณะ” ดังกล่าว ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยากว่า ในฐานะที่คุณษาเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ชีวิตของเธอย่อมต้องโยงใยเข้ากับอะไรหลายๆอย่าง ซึ่งใกล้ตัวที่สุดก็คงจะเป็นคุณแม่ ซึ่งไม่น่าจะต้องมาได้รับผลกระทบจากการคาดเดาสาเหตุไปเองของสื่อ เพราะได้ตกเป็นจำเลยเหมือนกัน และเป็นจำเลยมาตลอดว่าขัดขวางความรักของคนทั้งสอง หรือในอนาคตก็คือน้องเซย์เดย์ที่จะเติบโตขึ้นมา เธอเองจึงออกมาเคลียร์ (ตามคำเชิญมาเคลียร์ของรายการ) เพื่อทำทุกอย่างให้กระจ่าง

ในส่วนของคุณเป้ เมื่อดูภาพรวมทั้งหมดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรายการแล้ว ผมเข้าใจว่าด้วยความ “สิ้นหวัง” จนถึงจุดที่ “ไม่มีอะไรจะเสีย” เขามาด้วย “ความหวัง” ว่าจะสามารถกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง แต่ไม่น่าจะถึงขั้นคิดว่า การขอคืนดี “ในที่สาธารณะ” อย่างเป็น “สาธารณะ” นั้นจะช่วยให้ความหวังของตัวเองเป็นจริงขึ้นมาได้สักกระผีก หรือถึงคุณเป้จะคิดอย่างนั้นจริง ผมก็ไม่เห็นว่าเป็นการเล่นเล่ห์อะไร เพราะเมื่อดูจากน้ำตา เสียงพูดเคล้าสะอื้น ที่คุณเป้แสดงออกมาในรายการ สิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อก็คือ ความรู้สึก “สูญเสีย” ที่อยู่ในกิริยาเหล่านั้นล้วนเป็น “ของจริง” โดยไม่ต้องไปคิดคำนึงว่าจริงๆแล้วคุณเป้เป็นคนอย่างไร เพราะไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือไม่ ผมเชื่อว่า “การสูญเสียซึ่งสิ่งที่ตนรักและหวงแหน” เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้กับสัตว์ทุกชนิด ไม่ว่ามันจะถูกระบุสถานะว่า “ประเสริฐ” หรือ “เดียรัจฉาน” และในฐานะมนุษย์ การทำทุกอย่างเพื่อ “รักษาและทวงคืนมาซึ่งสิ่งที่ตนรักและหวงแหน” นั้นเป็นสิ่งที่หาดูได้ทั่วไป และไม่ใช่แม้แต่กับความรักหรือคนรัก เพราะกับสิ่งของหรือความเชื่อ เราเองก็สามารถพบเห็นได้ไม่ต่างกัน ซึ่งรูปแบบการกระทำที่แสดงออกมานั้น ย่อมเป็นภาพฉายออกมาจากทะเลความรู้สึกในจิตใจ ว่ามันคลุ้มคลั่งกับการสูญเสียมากน้อยเพียงใด

ในความรู้สึกของตัวเอง จุดระเบิดที่รุนแรงที่สุดในรายการ ไม่ใช่ Melancholic Surprise ในรูปการปรากฏตัวของคุณเป้ที่ทางรายการจัดคิวไว้ (อาจจะใช่สำหรับคุณษา แต่ไม่น่าจะใช่สำหรับผู้ที่ได้ดูโฆษณาของรายการมาก่อน) เพราะการปรากฏตัวของคุณเป้นั้น ได้รับการตีประโคมผ่านสื่อโฆษณาของทางสถานีมาหลายวัน และเป็นอัตราที่ถี่ จนไม่อาจสร้างความรู้สึกตื่นเต้นใดใด เมื่อได้พบเห็นในตอนออกอากาศจริงได้อีก อีกทั้งเมื่อมองลึกลงไปแล้ว ยังทำให้เห็นว่า นอกจากการสร้างกระแสแบบภาพต่อตาแล้ว ทางรายการอาจจะยังต้องการสร้างกระแสแบบปากต่อปาก เพื่อดึงจำนวนคนดูในช่วงเวลาดังกล่าว ให้มาจรดตาอยู่ที่รายการของตัวเอง ซึ่งก็พอเข้าใจได้ว่า ถ้าไม่ปากกัดตีนถีบขนาดนั้น คงยากจะดึงสายตาและความสนใจของคนดูมาจากอีกช่อง ซึ่งเป็นช่วงเวลาขบขันแห่งการอาละวาดของ “แกงค์สามช่า” ซึ่งครองใจคนดูมานานหลายปี จนย้ายสถานีแล้วก็ยังตามไปดูกัน

แต่ก็เป็นที่น่าสนใจว่า ด้วยความพยายามอย่างจงใจ ที่จะ “ฆ่าความสนุก (ของแกงค์สามช่า) ด้วยการขายความระทม (ของคุณษาและคุณเป้)” ซึ่งก็น่าจะเป็นความสนุกสนานอีกแบบ แม้จะเป็นความสนุกที่ไม่ได้ทำให้ใคร นอกจากคนที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับค่าโฆษณามีความสุขนั้น ทางรายการกำลังมุ่งหวังในสิ่งใดกันแน่ ระหว่าง “ตีแผ่การเคลียร์” ของคุณษา กับ “ค่าโฆษณา” จากการนำคนสองคนมา “ฆ่า” ด้วยการตอกย้ำความรู้สึกเจ็บปวดของพวกเขา

คำถามหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ ทั้งที่ดารานั้น หากจัดในแง่ของความใกล้ชิดทางความสัมพันธ์ พวกเขาน่าจะเป็นเพียง “ใครก็ไม่รู้” สำหรับเราด้วยซ้ำ แล้วเหตุใด เรื่องราวของพวกเขาจึงเป็นที่อยากรู้ของเรานักหนา ผมคาดเดาว่าน่าจะเป็นเพราะ แม้จะไม่ได้รู้จักมักจี่กันเป็นการส่วนตัว แต่การที่เราเห็นหน้า ได้ยินชื่อ ได้ยินเรื่องราวของพวกเขาผ่านทางสื่อต่างๆ ทั้งโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์อยู่แทบจะทุกวัน เทียบกันแล้ว ความรู้สึกคุ้นเคยที่มีให้ บางทีอาจจะมากกว่าเพื่อนบ้านรั้วติดกัน ที่เห็นหน้ากันทุกวันแต่ไม่เคยทักทายกันด้วยซ้ำไป แต่ถ้าวันหนึ่ง เพื่อนบ้านที่ไม่รู้จักนั้นเกิดตายไป และเราได้รับรู้ เราก็ยังอาจสนใจใคร่รู้ไปได้ ว่าเขาเป็นอย่างไร มาอย่างไร และตายอย่างไร จึงไม่น่าจะแปลกใจ หากเรื่องราวใดใดของดาราจะเป็นที่สนใจของเรา

หรือบางทีก็อาจเป็นไปด้วยเหตุผลอื่นๆ ตามแต่ว่าใครจะคิดว่าอย่างไร อย่างเช่นผม นอกจากได้ตอบสนองความสอดรู้สอดเห็นของตัวเองแล้ว ผมก็ยังได้รับความสนุก จากการได้เห็นดาราแสดงทัศนะที่มีต่อเหตุการณ์ต่างๆ หรือกระทำการต่างๆ เพราะมันทำให้ได้เห็นรูปแบบพฤติกรรม คำพูด อารมณ์ ความรู้สึก หรือแม้กระทั่งนั่งวิเคราะห์รูปแบบน้ำเสียง อันชวนให้คาดเดาไปต่างๆนานา ว่าตัวผู้ทำกระทำลงไปด้วยความคิด และพื้นเพทางจิตใจอย่างไร ผิดถูกไม่รู้ ดูแค่ขำๆ

แต่เมื่อคืนไม่ค่อยขำ...

เมื่อคืนนี้ ผมว่าสลักระเบิดถูกดึงออก ด้วยคำถามของพิธีกรหญิง ว่ามีโอกาสที่คุณษาจะกลับไปคืนดีกับคุณเป้หรือไม่ การหยุดคิดของคุณษาน่าจะเป็นช่วงเวลาที่กระเดื่องหลุดออก และปล่อยให้ชนวนทำหน้าที่พาไฟสู่ดินระเบิด ก่อนจะระเบิดออกมาเป็นคำตอบ อันมีทำนองใจความไปในทางที่ว่า “สิ่งที่เธอทำลงไป เกิดจากการตัดสินใจด้วยความคิดที่ถ้วนถี่ดีแล้ว”

ตูม...

ผมเห็นสะเก็ดระเบิดปลิวว่อนไปหมด ถ้านั่นเป็นระเบิดจริง คุณษาตาย กาละแมร์ตาย ตุ๊กญาณีตาย เพราะอยู่ใกล้รัศมีที่สุด ส่วนพวกที่อยู่ไกลออกมา อย่างคุณหนุ่มกรรชัย คุณเป้ ทีมงาน วงดนตรีของรายการ และผู้ชมในห้องส่ง อาจจะบาดเจ็บเล็กน้อยถึงสาหัส แล้วแต่ความแรงของระเบิด และความใกล้ไกลจากจุดระเบิด

ที่น่าสนใจก็คือ สะเก็ดความรู้สึก ที่ระเบิดออกมาจากความสัมพันธ์นั้น รัศมีการทำลายของมันไม่อาจวัดได้จากความใกล้ไกลทางพื้นที่ภูมิศาสตร์ แต่วัดได้จากพื้นที่ภูมิศาสตร์ความสัมพันธ์ ของผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับระเบิดความสัมพันธ์นั่น ในวินาทีนั้น ไม่ว่าภาพในโทรทัศน์จะเป็นอย่างไร แต่ที่ผมเห็นก็คือ ภาพความรู้สึกของคุณษาและคุณเป้ ที่ถูกปกคลุม จิกฝัง กรีดกระชากด้วยสะเก็ดระเบิดมากมายดังกล่าว จนแม้ตัวตนทางกายวิภาคของทั้งสองจะยังคงตั้งตรงอยู่ แต่ตัวตนทางความรู้สึกนั้นคงปลิวลอย ร่วงหล่น และบิดงอไปมาด้วยความเจ็บปวด

แต่แม้จะเป็นระเบิดจินตภาพอย่างความรู้สึก ก็ใช่ว่าผู้ที่อยู่ในขอบข่ายของการรับรู้ถึงการระเบิดนั้น จะไม่ได้รับผลกระทบใดใดไปด้วยเลย

ผมเข้าใจว่า ความหวาดกลัว ความเจ็บปวด อันเกิดขึ้นแต่การสูญเสียสิ่งรักและหวงแหน น่าจะเป็นกลไกหนึ่งในสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของมนุษย์ คือเมื่อได้ประสพแล้ว ร่างกาย หรือความรู้สึกจะบ่งบอกเราว่า มันเจ็บ มันปวด มันน่ากลัว เพื่อเตือนให้รู้ว่าเป็นสิ่งที่เราพึงหลีกเลี่ยง ดังนั้น ทันทีที่ระเบิดดังกล่าวสำแดงพลานุภาพ ผมเชื่อว่าตัวคุณกาละแมร์ คุณตุ๊กญาณี คุณกรรชัย (คุณกรรชัยนี่ก็เพิ่งโดนระเบิดมา ไม่รู้ว่าไปดึงอะไรสาวโคโยตี้ ซึ่งเข้าใจว่าคงดึงผิด เลยดึงไปโดนเอาสลักระเบิดความสัมพันธ์กับคุณเมย์แทน ตูม) ใครก็ตามที่อยู่ในห้องส่ง และที่ได้รับชมภาพเหตุการณ์ดังกล่าวผ่านทางจอโทรทัศน์ ย่อมได้รับผลกระทบจากแรงระเบิดไปด้วย โดยเฉพาะฝ่ายคุณกาละแมร์ ซึ่งเท่าที่ผมดูมานั้น แลดูจะมีความหวาดกลัวในขั้นสูงต่อการสูญเสีย อันเกิดขึ้นจากการระเบิดออกของความสัมพันธ์ ดังนั้น เธอเองน่าจะรู้สึกเจ็บปวดเป็นพิเศษ แม้จะไม่ใช่คู่ความสัมพันธ์ผู้เป็นเจ้าของระเบิดก็ตาม

ในขณะเดียวกัน หากมีผู้ใดที่ได้รับชมภาพการระเบิดดังกล่าว และใครคนนั้นเป็นผู้ครอบครองหัวใจที่เต็มไปด้วยริ้วรอย วิ่นแหว่งด้วยเคยถูกกรีดกระชาก ด้วยสะเก็ดของระเบิดความสัมพันธ์ในลักษณะเดียวกับคุณษาและคุณเป้มาก่อน โดยที่ตัวเองตกอยู่ในฐานะเจ้าของระเบิด เช่นนั้นแล้ว ตะกอนอดีต หรือภาพอดีตที่ยังไม่ตกตะกอนดีของพวกเขาเหล่านั้น คงมีอันลอยฟุ้งด้วยแรงระเบิดในจอ และตัวตนของพวกเขาก็คงปลิวลอย ร่วงหล่น บิดงอด้วยความเจ็บปวดไปด้วยเช่นกัน

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น คนที่เจ็บปวดที่สุดคงไม่พ้นคุณษากับคุณเป้ เพราะต่างก็เป็นเจ้าของชิ้นส่วนทั้งหมด ที่ประกอบขึ้นเป็นระเบิดลูกดังกล่าวนั่นเอง การระเบิดออกของระเบิด ย่อมหมายถึงภาพความทรงจำ อารมณ์ ความรู้สึก หรือแม้แต่ความหวังที่เกิดขึ้นเมื่อตัดสินใจร่วมชีวิตกัน ได้ถูกฉีกออกจนย่อยยับไปด้วย

ผมอยากจะขอคิดมาก ให้มันเลยเถิดไปอีกสักนิด แต่ก็ไม่น่าจะเกินเลยจากความเป็นไปได้ว่า หากหลังจากการบันทึกเทป คุณเป้ที่โซซัดโซเซกลับบ้าน อาจจะด้วยความรู้สึกหมดหวัง จนถึงขั้นตัดสินใจทำสิ่งที่เรียกว่า “คิดสั้น” “คิดโง่ๆ” หรืออื่นใดก็ตามตามแต่ที่คนที่ไม่เคยเข้าถึง หรือเคยเข้าถึง แต่ก็กลับมาเข้มแข็งจนหลงลืมไปแล้วว่า ในเวลาที่คนเราคิดอยากฆ่าตัวตายนั้น อะไรๆมันก็ดูสมเหตุสมผลไปหมด เพราะอะไรๆมันก็ดูเลวร้ายไปหมด จนชวนให้รู้สึกว่า การกระทำนั้นอาจจะไม่ใช่แค่การฆ่าตัวตายธรรมดา แต่เรียกได้ว่าเป็น “การุณญัตวินิบาตกรรม” คือรู้สึกว่า การฆ่าตัวตาย เป็นการมอบความกรุณาเพียงประการเดียว ที่สามารถมีให้แก่ตัวเอง เพื่อสามารถหลุดพ้นจากความเลวร้ายที่รุมเร้าตัวเองอยู่ได้ ซึ่งถ้ามันเกิดขึ้นจริง ผมก็สงสัยเป็นหนักหนา ว่าใครจะเสนอหน้าออกมารับผิดชอบ เพราะเอาเข้าจริงแล้ว การฆ่าตัวตาย แลดูเป็นเรื่องที่ไม่มีใครต้องรับผิดชอบ นอกจากตัวผู้ฆ่าตัวตายเอง เพราะมักยกยอดไปว่า มันเป็นเรื่องของ “ความอ่อนแอส่วนบุคคล” และยิ่งในกรณีดังกล่าว ผมฟันธงได้เลยว่า มันต้องมีความคิดแบบที่ว่า ถ้าอ่อนแอ จนทนแรงกระทบของการเป็นบุคคลสาธารณะไม่ได้ ก็ตายเสีย

ตามปรกติ ผมจะมีท่าทีต่อความทุกข์ โดยเป็นไปในลักษณะที่ว่า ความเจ็บปวดของใคร ก็ต้องให้ใครดูแลเอาเอง ดังนั้น ก่อนหน้าจะได้รับชมรายการดังกล่าว หากผมจะมีความรู้สึกใดใดต่อความเจ็บปวดของคุณษาและคุณเป้ มันก็ย่อมเป็นไปในลักษณะนั้น แต่เมื่อชมรายการดังกล่าว ผมรู้สึกว่า ในขณะที่ความเจ็บปวดของคนทั้งสอง ยังคงสดใหม่ และไม่ทันถึงวาระได้ตกตะกอน แต่ทางรายการกลับไปกวนมันให้ฟุ้ง หากเปรียบเป็นการตีเหล็ก ตีตอนที่ร้อนคงดี แต่ในกรณีนี้ ปัญหาคือแรงตีที่รุนแรงเกินไป ผลที่ได้คือ เหล็กความรู้สึก ที่ร้อนจนหลอมละลายจากแรงระเบิดของความสัมพันธ์ และยังไม่ทันได้อุ่นเย็นจนคืนรูป จึงมีอันต้องบิดเบี้ยวไปอีก ก่อกลายเป็นความเจ็บปวดที่มากขึ้น ทั้งที่หากทิ้งไว้ตามกาลเวลา บางที เพียงความน่ารักน่าเอ็นดู การเติบโตอย่างแข็งแรงของน้องเซย์เดย์ ก็น่าจะช่วยเป็นกำลังใจให้คุณษากลับมาเข้มแข็งขึ้นได้ ส่วนคุณเป้เอง ก็น่าจะปรับตัวได้ตามกลไกการเรียนรู้ผ่านกาลเวลา เฉกเช่นประสาคนที่น่าจะได้ผ่านชีวิตมาในระดับหนึ่ง แต่การที่ทางรายการเอา Melancholic Surprise มาเป็นจุดขาย เป็นการแทรกแซงกลไกดังกล่าวของคนทั้งสอง จึงเป็นที่สงสัยของผมว่า หลังจากที่ทางรายการ ได้อิ่มหนำกับจุดประสงค์ที่บรรลุ และแยกย้ายกันกลับบ้านไปแล้ว น้ำตาของคุณษาคุณเป้ ความเจ็บปวดของคนทั้งสอง ใครจะเป็นคนดูแล

และนั่นคือสิ่งที่ผมไม่พอใจ ผมไม่พอใจ “Melancholic Surprise Commodification” การเอาเซอร์ไฟรส์สุดระทมมาทำเป็นสินค้า ที่แลดูจะเป็นจุดขายที่น่าสนใจ จนอาจจะเอามาขายกันซ้ำซ้อนอย่างไม่สิ้นสุดนั่นเอง

รอยแผลในหัวใจ...ลบไม่ได้ด้วยฮีรูดอยด์




Tuesday, December 19, 2006

 

หมีมองคน: คิดก่อนใช้ไปกับเศรษฐกิจพอเพียง

(แก้ไขเพิ่มเติมเมื่อ 10 ม.ค. 2550 จาก “หมีมองคน: เศรษฐกิจพอเพียง คือ “นโยบาย?” คือ “ศาสนาเกิดใหม่?” คือการหลงลืมไปซึ่ง “ความเท่าเทียม?”)

ถ้าการบริโภคอาหาร ที่มีสารเบต้าแคโรทีนมากเกินไป จะทำให้ผู้บริโภคเริ่มหน้าเหลือง ตัวเหลือง เล็บเหลือง

หรือ...ฟ้าเหลือง??
ไม่ขนาดนั้นหรอก...

บางที กองอาเจียนสีอมเหลืองที่ผมสำรอกออกมานั่น ก็อาจเป็นเพราะผมได้บริโภคอะไรเหลืองๆ (แต่ไม่เกี่ยวข้องกับเบต้าแคโรทีน) มากเกินไป จนเกินความสามารถในการรองรับของร่างกาย จึงต้องสำรอกออกมา

“เฮ้ย!!” ทาโร่ สุนัขสามัญประจำบ้านของผมดอมดมกองของเก่านั่นแล้วร้อง “มึงบริโภคเศรษฐกิจพอเพียงเยอะไปว่ะ”

.................

หือ??

บริโภค...เศรษฐกิจพอเพียงเยอะไป?

ก็ไม่ปฏิเสธ มันอาจจะเป็นแบบนั้นจริงๆ ร่างกายของผมคงได้รับสารเศรษฐกิจพอเพียงผ่านสื่อต่างๆมากเกินไป ส่วนที่ต้องสำรอกออกมานั้น เพราะแม้รายละเอียดจะขยายความปลีกย่อยออกไปเรื่อยๆ แต่สารดังกล่าวล้วนไม่แตกต่างกันในใจความสำคัญ เลยต้องสำรอกเอาส่วนซ้ำออกมา จะได้เหลือที่ว่างไว้รับสารอย่างอื่นบ้าง

เป็นกลไกการกรอง “สาร” อย่างหนึ่งของร่างกาย...

“กูกินนะ” ทาโร่ร้อง เสียงมันแปลกๆ น้ำลายยืดๆ

“ตามสะดวก” ผมตอบ “เลือกหน่อยแล้วกัน มันซ้ำๆ”

ปรกติ ผมก็เป็นคนเขียนแบบที่ทำให้คนอ่านจับประเด็นไม่ค่อยได้ (โดยไม่ได้เจตนา (T.T)) อยู่แล้ว และวันนี้คงยิ่งจับประเด็นยากมากขึ้นไปอีก เพราะมีประเด็นมากมาย และไม่ได้เรียบเรียงอะไรเท่าไรนัก แต่ผมก็ทนไม่ไหว ถ้าจะต้องอ้วกมันเรี่ยราดลงหูแฟนไปอีก (คงจะเต็มแล้วเหมือนกัน) ไหนๆถ้าจะต้องอ้วก ผมก็ขออ้วกในนี้แล้วกัน

ประเด็นหนึ่ง เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงที่ผมอยากจะพูดถึงก็คือ ทุกวันนี้ ตัวตนของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นสิ่งที่ก้ำกึ่งอยู่ระหว่างความเป็น “นโยบาย” และ “ศาสนา” ซึ่งก้ำกึ่งที่ว่าก็คือ ในความไม่ชัดเจนนั้น แนวคิดดังกล่าวสามารถเป็นได้ทั้ง “นโยบาย” และ “ศาสนา” นั่นเอง

และเป็น “ศาสนา” ที่เพิ่ง “เกิดใหม่” เสียด้วย

ความแตกต่างระหว่าง “ศาสนา” ที่มีกันอยู่แล้ว กับ “ศาสนาเศรษฐกิจพอเพียง (ศาสนาเกิดใหม่)” ก็คือ “ศาสนา” แบบเดิมๆนั้น ในกรณีที่นักบวชในศาสนา (ในที่นี้ใช้พุทธและคริสต์เป็นฐานอธิบาย) เป็นคนเผยแผ่ ตัวคำสอนจะได้รับความนิยมก่อน แล้วศาสดาจึงได้รับความนิยมตาม หรือในกรณีที่ตัวศาสดาเป็นผู้เผยแผ่เอง ตัวคำสอนก็จะได้รับความนิยมไปพร้อมๆกัน หรือไล่เลี่ยกับตัวศาสดา

แต่ “ศาสนาเศรษฐกิจพอเพียง” นั้น ความนิยมชมรักในตัวศาสดาเป็นสิ่งที่มีมาอยู่ก่อน และมีอยู่มาอย่างยาวนาน ด้วยทรงดำรงพระองค์อยู่ในฐานะศูนย์รวมจิตใจ ทั้งยังเป็นความนิยม และเป็นจินตนาการร่วมที่ใช้ในการระบุความเป็น “พวกเดียวกัน” (ใครไม่นิยมไม่ใช่ไทย ต้องด่าเป็นอย่างน้อย ต้องฆ่าเป็นอย่างมาก) ดังนั้น ภายใต้กระแสความนิยม ความเป็นศูนย์รวมจิตใจ ความเป็นตัวชี้วัดความเป็นพวกเดียวกัน ผนวกเข้ากับคลื่นความโหยหิวสมานฉันท์ ย่อมเป็นไปได้ ที่คำสอนของ “ศาสนาเศรษฐกิจพอเพียง” จะได้รับความนิยม และพร้อมจะปฏิบัติตามก่อนที่จะมีกระบวนการทำความเข้าใจ

ความที่เป็น “นโยบายเชิงปรัชญา” (หรือจริงๆคือ “ปรัชญาที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นนโยบาย”) เมื่อรวมเข้ากับความพร้อมจะปฏิบัติตามก่อนทำความเข้าใจ จึงทำให้ “ศาสนาเศรษฐกิจพอเพียง” เป็นสิ่งที่ต้องทำการ “ตีความ” ซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นปรัชญา ย่อมเป็นไปได้ และเป็นไปแล้ว ที่ยากเกินกว่าจะทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ได้ ด้วยการอ่าน หรือฟังเพียงครั้งเดียว

และภายในสองปีนี้เป็นอย่างน้อย กระแสเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง (ที่ทรงดำริดำรัสมานานกว่า 25 ปี แต่อย่าลืมว่านานกว่าที่ว่านั้น มิจำเป็นว่าต้องตลอด แต่อาจเป็นครั้งคราว และน้อยครั้ง) ยิ่งย่อมร้อนแรง และอาจเป็นรูปธรรมถึงขีดสุดด้วยแรงผลักดันของรัฐ นักวิชาการบางส่วน รวมถึงสื่อต่างๆ (แต่ยังคงเป็นนามธรรมในทางปฏิบัติ เนื่องจากตีความได้หลากหลาย และยังไม่มีวี่แววว่าจะจบสิ้น บอกตามตรงว่า เป็นกระแสนโยบายที่ส่วนเงื่อนไขกินความแห่งพฤติกรรมได้กว้างขวางเป็นอันมาก) และจากแรงศรัทธาของประชาชนเอง ด้วยเหตุผลหลักๆสองประการคือ 1. เป็นช่วงสิ้นสุดกลุ่มทุนเผด็จการประชานิยม และ 2. ช่วงนี้เป็นช่วงมหามงคลทวิศก ว่าด้วยวโรกาสที่ทรงครองราชย์ครบ 60 ปี และจะทรงมีพระชนมายุครบ 80 พรรษา ตามลำดับ

ลักษณะความเป็นศาสนาของเศรษฐกิจพอเพียงคือ

1. (ด้วยความเคารพ) มีองค์ศาสดาผู้ประกาศ คือองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

2. มีคำสอน คือตัวแนวนิยามหลักของเศรษฐกิจพอเพียง อันมีอยู่สามประการ คือ

2.1)ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไป และไม่มากเกินไป โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เช่น การผลิตและบริโภคที่อยู่ในระดับพอประมาณ

2.2)ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับของความพอเพียงนั้น จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้นๆอย่างรอบคอบ และ

2.3)การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบ และการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆที่จะเกิดขึ้น โดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิดในอนาคตทั้งใกล้และไกล

(ที่มา: “เศรษฐกิจพอเพียงคืออะไร?”, สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, www.nesdb.go.th/sufficiency)

โดยคำสอนนั้น เป็นไปเพื่อการละวาง จากการแข่งขันที่มากเกินไป อันนำมาซึ่งความวุ่นวาย และการก่อเกิดของอัตตาที่เป็นพิษต่อตนเอง และสังคม อันหมายถึงการอยู่ร่วมกับผู้อื่น เพื่อเกิดการหลุดพ้น จากการครอบงำของทุนนิยม และสามารถอาศัยอยู่ร่วมกับทุนนิยม โดยมิต้องหลุดไหลไปตามกระแส ให้ต้องเกิดความเดือดเนื้อร้อนใจโดยไม่จำเป็น

3. มีรัฐบาลและนักวิชาการ (บางส่วนถึงส่วนใหญ่) เป็นนักบวชคอยเผยแผ่คำสอน และ

4. มีประชาชนเป็นสาวก

หรืออาจจะมี...

5. คุณลักษณะของความบิดเบี้ยวทางคำสอน ซึ่งเป็นกันในหลายๆศาสนา คือการก่อกำเนิดขึ้นของวัฒนธรรมการเคารพรูปวัตถุ หรือสักการะสิ่งของบูชา (พระบรมฉายาลักษณ์ ริสท์แบนด์ เสื้อ ของเหลืองต่างๆ ที่บางชนิดถูกนำมาผลิตขายในฐานะ “ราชพาณิชยสักการะภายใต้พระบรมราชานุญาต” ซึ่งไม่แน่ใจว่าสินค้าในร้าน King Power Duty Free จะได้รับผลกระทบ จนเข้าข่ายลักษณะบิดเบี้ยวนี้ด้วยหรือไม่ เพราะอาจมีคนบางประเภท ที่พอเห็นมีคำว่า King ก็จะรีบวิ่งไปสนับสนุนในทุกที่ โดยมิพักจะต้องคิดคำนึงถึงใจความที่แท้จริง) ยังดีแต่ว่า องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นที่เคารพรักอย่างสุดซึ้ง ผมจึงคาดว่า ยังไม่มีใครกล้าคิดวิตถาร ถึงขั้นบังอาจขูดพระบรมฉายาลักษณ์ หรือสิ่งแทนพระองค์ต่างๆเพื่อหาหวย

แต่เอาเลขพระชนมายุไปแทงหวยนี่ประจำ...

และที่แน่ๆ...คือ

6. มนุษย์นอกกระแสที่คอยตั้งคำถามต่อตัวคำสอน

และมีคุณลักษณะความเป็น “ศาสนาเกิดใหม่” คือยังไม่แพร่หลาย และต้องตีความซ้ำ ย้ำหลายรอบเพื่อให้เกิดความเข้าใจแบบเดียวกัน

แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีความย้อนแย้งในความเป็น “ศาสนาเกิดใหม่” คือค่อนข้างจะได้รับความนิยมไปก่อนแล้ว โดยยังไม่มีการปฏิบัติจริงจัง

พร้อมกันนั้น ยังมีคุณลักษณะความเป็นนโยบาย อันตรงกับความหมายของคำว่านโยบาย ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตย์ฯ คือเป็น “หลักและวิธีปฏิบัติซึ่งถือเป็นแนวดำเนินการ”

และตรงนี้ ผมคิดเอาเอง ว่ามันแสดงให้เห็นว่า ภายใต้ความเคารพรักอย่างมากมายมหาศาล [ทั้งที่มาจากใจ (สมอง) โดยตรง และที่มาจากเพียงแรงสั่นสะเทือนของเส้นเสียงในลำคอ] ที่ปวงชนชาวไทยมีให้องค์พระมหากษัตริย์นั้น เรามีความตื่นตัวกับสิ่งที่เป็น “นโยบาย” มากกว่า “พระบรมราโชบาย”

แต่อาจเพราะนี่เป็นรัฐบาลชุดแรก (เท่าที่ผมระลึกได้ในตลอดช่วงชีวิต 25 ปีของตัวเอง) ที่ได้นำเอา “พระบรมราโชบาย” มาทำเป็น “นโยบาย”

และอาจเป็นจุดตัดสินใจ สำหรับฐานเสียงของกลุ่มอำนาจเก่าในบางพื้นที่ ที่ต่างบอกว่าเคารพรักในองค์พระเจ้าอยู่หัว แต่ก็ยังคงโหยหา “ทักษิโณบาย” ไปในเวลาเดียวกัน ว่าสิ่งไหน ที่พวกเขาจะเลือกกัน

ซึ่งตรงนี้อาจเป็นไปได้ว่า มีคนส่วนหนึ่งในประเทศ ที่เลือกเชื่อ “คำคน” (นโยบายประชานิยม) ที่เชื่อว่าให้ประโยชน์แก่ตัวเอง มากกว่า “ตัวคน” (องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว) ที่พูดคำที่ยังไม่ชัดว่าจะให้ประโยชน์ใดใดกับตัวเอง และอาจอยากเห็นทางออกเป็นการประนีประนอม โดยการผนวกรวมเอาทุกคำคน และตัวคนนั้นเข้าด้วยกัน

ถ้าคำกล่าวหาข้อหนึ่งในหลายๆข้อ (ในหมวดเรื่องความพยายามที่จะล้มล้างสถาบันกษัตริย์) ของฝ่ายพันธมิตรฯเป็นความจริง ผมว่าคุณทักษิณแกก็ทำอะไรสำเร็จไปในบางส่วนแล้ว

ถ้าเป็นผม หากคิดว่า “รัฐประหารบาล” ชุดนี้รังแกนายเหนือหัวคนเก่า ผมจะลองชวนกันร่วมลงนามถวายฎีกาดู ซึ่งน่าจะได้ผลในเชิงปฏิบัติมากกว่าการชุมนุม อันสุ่มเสี่ยงต่อการแทรกแซงของมือที่สาม (แพะตลอดศักราช; Always Available Scape-Goat) เป็นไหนๆ

และเราเองก็มีความถนัด ในการถวายอำนาจอธิปไตยคืนสู่กษัตริย์ (โดยผ่านคณะรัฐประหารสักชุด หรือที่ “ทันสมัย” ไม่แพ้กันก็คือมาตรา 7) เพื่อขจัดปัญหาบ้านเมืองอันยากเกินแก้ไข อันเกิดจากการรู้ไม่เท่า เข้าใจไม่ทัน หรือแม้ด้วยการปล่อยปละละเลย ด้วยได้ปิดตามองไปข้างหนึ่ง ภายใต้เหตุผลที่ว่า “ลำพังต้องสร้างความมั่งคั่งแสนมั่นคงให้ชีวิตตัวเอง ก็ไม่เหลือเวลาจะไปทำอย่างอื่นสิ่งใดแล้ว” หรือ “การเมืองเรื่องน้ำเน่า เราไม่ดม” อยู่เสมอ

ในการต่อไปนี้ กับสิ่งที่ผมกำลังจะพูด จะมีคำว่า “อัตภาพ” เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยในหลายๆจุด ซึ่งหากดูตามความหมายในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตย์ฯ คำว่า “อัตภาพ” เป็นคำมาจากภาษาบาลีว่า “อตฺตภาว” (อัด-ตะ-ภา-วะ) อันหมายถึง “ตน” หรือ “ลักษณะความเป็นตัวตนหรือบุคคล” ดังนั้นแล้ว ย่อมสามารถกินความขยายไปถึงทุกสิ่งอันใดก็ตาม อันหมายถึงสิ่งที่บุคคลหนึ่งมี ทั้งสถานะทางการเงิน สภาวะภาพทางสังคม ความรู้ความสามารถในการดำรงชีวิต สิ่งสภาพใดก็ตามที่ประกอบรวมอยู่ในตัวบุคคลหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่สามารถมองเห็นได้อย่างเป็นรูปธรรม หรือที่เป็นนามธรรม แต่เป็นที่รับรู้ได้ว่ามีอยู่ก็ตาม

จากความหมายของวิถีชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง ที่ได้รับการตีความภายใต้บริบทของเมือง [ซึ่งเป็นการห่างไกลออกจากแนวความคิดตั้งต้น ที่ค่อนข้างเป็นเรื่องของชุมชนเกษตรกรรม ทั้งนี้เข้าใจว่าเพราะได้กลายมาเป็นนโยบายรัฐ และส่วนใหญ่ได้รับการตั้งคำถามจากคนเมือง เนื่องจากได้รับการแถลงว่า สามารถใช้ได้กับทุกภาคส่วน และมักได้รับการตีความ เผยแพร่ (เผยแผ่) ผ่านทางสื่อต่างๆ จากคนที่อยู่ในสภาวะที่ “มี” จนสามารถ “พอ” แต่ยังไม่เคยได้รับฟังแนวความรู้สึกของคนที่อยาก “พอ” แต่ยังอยู่ในสภาพชีวิตที่ไม่อาจเรียกได้ว่า “มี” แม้เพียงในระดับพื้นฐานอันทุกคนควร “มี” แต่คนเหล่านั้นก็ยังไม่อาจได้อยู่ในสภาวะ “มี”] ตามที่ได้ทำความเข้าใจเอง และรับรู้ผ่านสื่อต่างๆ ผมพบว่า วิถีการดำเนินชีวิตดังกล่าว แทบจะไม่มีความแตกต่างอะไรไปจากการดำเนินชีวิตอย่างมีสติเชิงพุทธ คือดำรงตนอยู่บนความไม่ประมาท นอกเหนือจากนั้นคือต้องมีอหิงสา อหิงสาทั้งต่อตนเองและผู้อื่น คือกระทำการใดใดต้องไม่ให้ใครเดือดร้อน

ในเรื่องของการกินใช้ปรกติ ผมคงไม่ต้องไปพูดถึงมาก เพราะส่วนใหญ่คงเข้าใจดีอยู่แล้ว (ไม่ว่าจะปฏิบัติหรือไม่) ว่าภายใต้วิหิงสาที่มีต่อสัตว์ที่ถูกฆ่ามาทำอาหาร เราจะกินอย่างไรเพื่อให้เกิดอหิงสา ทั้งต่อตัวเรา ต่อผู้อื่น

และสำคัญที่สุด...ต่อทรัพย์ของเรา
แลดูว่าทรัพย์นั้นน่าจะเป็นประเด็นหลักทีเดียว...

แต่ในเรื่องของการลงทุน มีการตั้งคำถามกันมาก ว่าลงทุนแบบไหน จึงจะเรียกว่าเป็นการพอเพียง

นั่นเพราะคำว่าพอเพียง...ถูกนำไปผูกติดอยู่กับบริบทที่เรียกว่าจำนวนเงิน

จึงเป็นความสงสัยว่า การลงทุนด้วยเม็ดเงินนับล้าน ของเหล่ามหาเศรษฐีเงินล้าน การลงทุนในลักษณะนั้น สามารถเรียกว่าเป็นความพอเพียงหรือไม่ หากไม่ใช่ และนักธุรกิจเหล่านั้นหันมาดำเนินชีวิต ดำเนินการลงทุนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง เช่นนั้นแล้ว จะนำมาซึ่งการหยุดชะงัก จนดำเนินไปถึงการถดถอยของเศรษฐกิจทั้งปวงของประเทศ และนำพาไปถึงการไม่สามารถต่อสู้ กับระบบทุนนิยมโลกาภิวัฒน์ ที่กำลังสยายปีกครอบคลุมไปทั่วโลก อย่างโหดร้ายกระหายเลือดหรือไม่

คำตอบก็คือ หากการลงทุนเรือนล้านนั้น เป็นไปโดยมิเกิดวิหิงสาแก่ตน มิเกิดวิหิงสาแก่คนอื่น มีความรอบรู้และรู้รอบ ถึงผลดีผลเสียอันจะเกิดแต่การลงทุนนั้น คือในขณะที่คาดหวังถึงผลที่ดีที่สุด ก็ต้องไม่ลืมคำนึงถึงผลเลวร้ายที่สุด อันอาจจะเกิดขึ้นได้จากการลงทุนนั้นด้วย หรือสรุปให้ง่ายเข้าอีกก็คือ ลงแล้วมั่นใจว่าไม่เดือดร้อน เช่นนั้นแล้ว การลงทุนนั้นย่อมเป็นไปตามวิถีเศรษฐกิจพอเพียง

ผมไม่ใคร่มีความรู้เรื่องการลงทุนนัก แต่ตามวิสัยผู้หลีกหนีความเสี่ยง (แต่บางครั้งผมก็เข้าสู้??) ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ในเมื่อจะมองอย่างไร หากไม่ใช่การลงทุนแบบหลีกเลี่ยงความเสี่ยง (ซึ่งแลดูจะเข้ากันได้กับวิถีเศรษฐกิจพอเพียงเป็นที่สุด) อย่างเช่นการฝากเงินกับธนาคาร หรือการซื้อประกัน เป็นต้น การลงทุนย่อมมีโอกาสจะพลิกดาว (ในฝัน) สู่ดิน (ในความเป็นจริง) ได้เสมอ เช่นนั้นแล้ว เรายังพึงลงทุนให้มากมายตามอำนวยการแห่งอัตภาพอีกหรือ

เศรษฐกิจพอเพียงก็ยังตอบต่อไปว่า นั่นต้องใช้หลักว่าด้วยความรู้รอบ คือต้องรู้โดยรอบว่ามีปัจจัยเสี่ยงใดบ้าง และมีเครื่องมือใดบ้างที่สามารถกำจัดปัจจัยเสี่ยงนั้นๆไป เพื่อได้ดำเนินการตามขั้นตอนของการกำจัด

จึงสรุปได้ว่า การลงทุนมหาศาล โดยอยู่ภายใต้มหาศาลแห่งอัตภาพนั้น ก็สามารถเป็นเศรษฐกิจพอเพียงได้ ภายใต้การนำหลักคำสอนของ “ศาสนาเศรษฐกิจพอเพียง” ไปใช้เช่นกัน

นี่คงเป็น “ความย้อนแย้งของความพอเพียงสีอมเหลือง” (Paradox of Yellowish Sufficiency) อีกประการหนึ่ง คือภายใต้คำว่าพอเพียง ที่อนุญาตให้สามารถตอบสนองกิเลสได้ไม่จำกัด หากยังเป็นการใช้กิเลสตามวิถีพอเพียงนี้ ดูจะช่างขัดกับความรู้สึก ที่มีต่อคำว่าพอเพียงในความหมายเดิมๆ ที่หลายๆคนคุ้นเคยอยู่ค่อนข้างมาก

และเป็นเรื่องที่น่าสงสัยอีกประการหนึ่งว่า แล้วที่ผ่านมา บรรดานักลงทุนทั้งหลายนั้น พวกเขาไม่ได้ดำเนินการลงทุนไปในรูปแบบนั้นที่ตรงไหน

ทีนี้...จะเข้าถึงปัญหาที่ยังไม่มีใครให้ความกระจ่าง

ดังกล่าวมาแล้ว เราก็จะเห็นว่า หลักคำสอนของ “ศาสนาเศรษฐกิจพอเพียง” นั้น เปิดโอกาสให้คนทำการสะสมทรัพย์ ให้เพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆได้ตามที่อัตภาพของแต่ละคนจะอำนวย

จึงเกิดความสงสัยแก่ตัวผมเองว่า ในภาวะที่อัตภาพของแต่ละคนมีความมากน้อยแตกต่างกัน และบางคนน้อยนิดจนถึงขั้นติดลบ หากดำเนินชีวิตตามหลักคำสอนของ “ศาสนาเศรษฐกิจพอเพียง” แล้วจะมีสิ่งใดเพิ่มขึ้น สิ่งใดคงอยู่ และสิ่งใดหายไป

แน่นอนว่า หากคิดตามรัฐประหารบาลเน้นอ้าง คงตอบได้ว่า สิ่งหนึ่งที่จะเพิ่มขึ้นก็คือ “ดัชนีความสุขประชาชาติมวลรวม” หรือ “GNH: Gross National Happiness” ซึ่งยอมรับกันเถิดว่า มันเป็นดัชนีที่ยากจะหาตัวแปรใดใด ที่กินความกว้างไกลเพียงพอจะครอบคลุม ว่าตัวแปรเหล่านั้น คือสิ่งที่เป็นความสุขเดียวกันของคนทุกคน เพราะความสุขนั้น เป็นตัวแปรที่มีความเป็นนามธรรมสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเรามักเน้นย้ำว่า “สุขที่แท้คือทางใจ หาใช่ทางวัตถุ” ก็ยิ่งค้นหาความเป็นรูปธรรมแทบไม่ได้เลย จึงมิต้องคิดหาตัวแปรสากลมาใช้คำนวณ

ผมมีความสุข...คุณมีความสุข
แต่ความสุขของเราไม่จำเป็นจะต้องใช่สิ่งเดียวกัน...

อีกสิ่งหนึ่งที่เพิ่มขึ้น ก็คงเป็นเรื่องราวของความมั่นคงในชีวิต เขาอาจจะบอกได้ว่า ก็ความมั่นคงในชีวิตนั่นเอง ที่ล้วนเป็นความสุขที่ทุกคนแสวงหา แต่ก็อย่าลืมว่า ภายใต้ความสุขเดียวกันนั้น เราต่างก็อาจมีโครงสร้างของความสุขที่ต่างกัน ซึ่งผู้สนับสนุน “ศาสนาใหม่” นั้นก็คงบอกว่า ก็นำแนวคำสอนไปใช้สิ สุดท้ายแล้วเราก็จะมีความสุขเหมือนกัน

แม้จะแลดู เอียงฟังแล้วเหม็นฉี่ ฉี่ของกัลลิเวอร์ผู้มุ่งดับไฟให้เมืองคนจิ๋วด้วยฉี่ อันส่อแสดงถึงการเน้น Product มากกว่า Process ไม่เกี่ยงวิธีการ ขอเพียงให้บรรลุซึ่งผลลัพธ์ได้เป็นพอ อย่างที่คุณทักษิณชอบทำ (จนเกือบจะชอบธรรม) ก็คงไม่เหม็นมากมายนัก แล้วแต่ว่าใครจะได้กลิ่น แล้วเอามาเป็นนาสิกสาระหรือไม่ ซึ่งผมเองก็พอเข้าใจ เพราะบางครั้งผมก็จำต้องฉี่เพื่อการนั้นเช่นกัน

ทีนี้ ในเรื่องของสิ่งที่คงอยู่ ผมจะขออธิบายเป็นสมการง่ายๆ ตามความสามารถของสมองโง่ๆ

ให้ Xm เป็นอัตภาพของคนๆหนึ่ง และ Yn เป็นอัตภาพของคนอีกคนหนึ่ง

ภายใต้การสะสมทรัพย์แบบ “เศรษฐกิจพอเพียง” ผมขอสรุปเป็นสูตรง่ายๆ ว่าสูตรจะเป็น Xm + m และ Yn + n โดยที่ m และ n แสดงส่วนเพิ่มการสะสมทรัพย์ให้เพิ่มพูนตามอัตภาพ และกำหนดให้มีค่าเท่ากับ 0, 1, 2, 3,…

และภายใต้แนวคิดแบบเศรษฐกิจพอเพียง เราย่อมต้อง +0, +1, +2, +3 ไปเรื่อยๆตามลำดับ

ซึ่งเรื่องราวคงจะฟังดูเข้าที และจะเข้าทีต่อไปเรื่อยๆ หากผมไม่บอกก่อนว่า จริงๆแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่าง Xm และ Yn คือ Xm > Yn

ดังนั้น ภายใต้รูปแบบการสะสมทรัพย์แบบเศรษฐกิจพอเพียง Xm + m ย่อมมากกว่า Yn + n อยู่เสมอ

นั่น...คือสิ่งที่จะยังคงดำรงอยู่
ความไม่เท่าเทียม...

และ...ย่อมนำมาซึ่งสิ่งที่หายไป (หรืออาจไม่เคยมีอยู่จริง??)
ความเท่าเทียม...

ในเชิงหลักการ ภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตย (อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) ซึ่งเรา (เขา) กล่าวอ้างกันว่า ประชาชนทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน แต่ในภาวะที่สถานะสภาพของประชาชนแบ่งออกเป็นหลากหลายรูปแบบ ประชาชนเศรษฐีมหาเศรษฐี ประชาชนยาจก ประชาชนสามัญ ประชาชนแรงงาน ประชาชนมนุษย์เงินเดือน ประชาชนนักธุรกิจ ประชาชนเจ้าหน้าที่รัฐ ประชาชนเจ้าหน้าที่เอกชน และประชาชนอีกมากมาย ตามแต่ว่าใครจะสามารถมีโอกาสเข้าถึงได้ในสถานะใด

โดยหากดำเนินชีวิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงแล้ว แม้คนรวยจะสามารถรวยขึ้นเรื่อยๆ คนจนก็สามารถรวยขึ้นเรื่อยๆด้วยเช่นกัน แต่สุดท้ายแล้วสิ่งหนึ่งที่คงอยู่ และไม่ลดลงก็คือ “ช่องว่างแห่งความยากจน” (Poverty Gap) อันหมายถึงความเหลื่อมล้ำในระดับรายได้ หรือระดับความมากมายของทรัพย์สินสะสมที่แต่ละส่วนบุคคลไม่เท่ากัน

และสุดท้าย เราคงลืมไปไม่ได้ว่า สิ่งที่ส่อแสดงถึงสิทธิอันไม่เท่าเทียมกันในสังคมนี้ได้มากที่สุด ก็คือเงิน หรือสิ่งอื่นใดอันเป็นอัตภาพ อัตภาพที่ได้รับการยอมรับจากสังคม ว่ามีมากกว่าแล้วเหนือกว่า

เศรษฐกิจพอเพียงจะช่วยตอบปัญหาเรื่องนี้ได้อย่างไร...

แล้วไหนจะเรื่องของชาวบ้านห่างไกล คนชายขอบ หรือใครก็ตามที่เปล่าไร้ซึ่งที่ดินทำกิน เพียงคิดประกอบสัมมาอาชีพก็ยังต้องเช่าที่เช่าทางเขาทำ หรือแม้แต่คนสลัมในกรุงเทพฯ ที่ต้องอาศัยอยู่ในบ้าน ที่มีรูปลักษณ์ราวพร้อมพังได้ในทุกห้วงลมหายใจสะอึก ในขณะที่คนอีกส่วนหนึ่ง สามารถมีบ้านหลายหลังไว้เปลี่ยนนอน หรือเพื่อรองรับการล่มสลายของระบบครอบครัวขยาย เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวแห่งตน หรือมีที่ดินว่างเปล่าเอาไว้เก็งกำไร

เศรษฐกิจพอเพียงจะช่วยตอบปัญหาเรื่องนี้ได้อย่างไร...

ในกระแสลมจากชนชั้นบนของสังคม ที่โหมพัดกระหน่ำเอาความสุขสบายในการใช้ชีวิต อันเป็นผลจากการมีทรัพย์สินมหาศาล ที่แผ่พุ่งลงมาสู่ชนชั้นล่าง เป็นไปได้หรือว่า ภายใต้คำบอกที่ว่าทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน ชนชั้นล่างจะไม่อยากมี อยากสุข อยากสบายแบบนั้นบ้าง

นั่นคือความแตกต่างของอัตภาพใช่หรือไม่??

หรือจะบอกว่า นั่นเป็นหน้าที่ของชนชั้นล่าง ที่จะต้องต่อสู้กับกิเลส ตรัสรู้ด้วยตนเองว่า สุขสบายใดที่เกินไปซึ่งสมรรถภาพของอัตภาพตน และละลดซึ่งความกระหายอยากในความสุขสบายนั้น

คนบางคน...แค่อยากอิ่มยังไม่ได้อิ่มเลย
แค่ปัจจัยสี่ยังมีกันไม่ครบทุกคนเลย...

แลดูอย่างนี้แล้ว เศรษฐกิจพอเพียงจึงราวกับเป็นนโยบาย ที่ออกมาเพื่อลดความขัดแย้งระหว่างชนชั้น แต่เป็นการลดโดยให้คนทำใจยอมรับสภาพตน คนรวยก็เชิดหน้ารับชะตากรรมรวยๆของตนต่อไป ในทางเดียวกัน คนจนก็ต้องก้มหน้า แนบหน้ากับพื้นยอมรับชะตากรรมจนๆของตนเอาไว้ด้วยความเต็มใจ

นักวิชาการบางท่านอาจจะแย้งว่า เศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่แบบนั้น ไม่ได้หมายความว่าคนจนก็ต้องจนตลอดไป

ผมก็ไม่ได้บอกว่ามันเป็นแบบนั้น แต่ลองคิดดูว่า ภายในสภาพสังคมที่ยังสามารถใช้เงินเป็นตัวแบ่งชนชั้น เราจะปฏิเสธได้หรือว่า ในความเป็นจริง (ที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็น “สัจจะโลกาภิวัฒน์ธรรม” หนึ่ง) ภายใต้ความไม่เท่าเทียมกัน ที่มีระดับรายได้เป็นตัวจำแนก ความจนที่เกิดขึ้นนั้น หาได้ใช่ “ความจนสัมบูรณ์” (Absolute Poverty) ไม่ หากแต่เป็น “ความจนสัมพัทธ์” (Relative Poverty) คือมีสถานะทางการเงินอยู่ในระดับจน เมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่น และในทำนองเดียวกัน ก็ย่อมมีคนที่มี “ความรวยสัมพัทธ์” อยู่เช่นกัน

ประโยคดิบๆในทำนองที่ว่า ก็อย่าไปเทียบกับคนอื่น เราก็อยู่อย่างพอเพียงของเรา คงเพียงพอแต่เพียงใช้เป็นตัวหนังสือให้กำลังใจ เพื่อให้คนบางประเภทใช้หลอกตัวเอง หลอกคนอื่นเท่านั้น เพราะในความเป็นจริง ภายใต้สภาวะราคาสินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐานทั่วไป (สินค้าจำเป็นที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน) ที่ผันผวนไปมาโดยเป็นปฏิภาคในทางเดียวกันกับระดับราคาน้ำมันในตลาดโลก ในสภาวะเงินเฟ้อ (หรือเพื่อให้ถูกต้องตามรูปลักษณาการแล้วควรเรียกว่า “ราคาเฟ้อ”) อันเกิดแต่การเสริมกันตามลำดับของ “การผลักดันของต้นทุน” (Cost-Push) และ “การฉุดดึงของอุปสงค์” (Demand-Pull) โดยเป็นผลจากการเหนี่ยวนำของราคาน้ำมันที่สูงขึ้นนั้น ย่อมเป็นสภาวการณ์ที่ทำให้ “ความรวย-จนสัมพัทธ์” เป็นปัจจัยที่มีผลกระทบต่อความสามารถในการบริโภคอย่างมีนัยสำคัญ

[Cost-Push: เมื่อราคาน้ำมันสูงขึ้น ต้นทุนในการผลิตสินค้าย่อมสูงตาม เพื่อรักษาไว้ซึ่งระดับกำไรเป้าหมาย ภายใต้ราคาตลาดเท่าเดิม ผู้ผลิตย่อมจำเป็นต้องลดปริมาณการผลิตลง (สินค้าอุปโภคบริโภคบางชนิดอยู่ภายใต้การควบคุมราคาของรัฐ ผู้ขายไม่อาจขึ้นราคาเองตามใจชอบได้) เพราะหากยังคงปริมาณการผลิตไว้ที่ระดับเดิม และราคาตลาดเท่าเดิม ผู้ผลิตย่อมต้องประสบกับภาวะขาดทุน (หรืออย่างเบาบางที่สุด คือสูญเสียไปซึ่งกำไรเกินปรกติ และมีกำไรอยู่ที่ระดับกำไรปรกติ) นำมาซึ่งการลดลงของปริมาณการผลิต ยังผลสืบเนื่องเป็นการเกิดขึ้นซึ่งสภาวะเงิน (ราคา) เฟ้อจาก Demand-Pull: อุปทานสินค้าที่ลดลง นำมาซึ่งการเกิดขึ้นของอุปสงค์ส่วนเกิน เป็นผลให้ราคาสินค้าสูงขึ้น อันเป็นไปตามหลักอุปสงค์-อุปทาน]

ภายใต้สภาวะเงิน (ราคา) เฟ้อ ทุกๆครั้ง กลุ่มที่เดือดร้อนที่สุดย่อมไม่พ้น “จนสัมพัทธ์ชน” ที่มีกำลังซื้อในระดับปรกติ หรือต่ำกว่าปรกติ แต่กลับต้องซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีราคาสูงผิดปรกติ จนถึงขั้นเรียกได้ว่ามีราคาเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึง อันเป็นผลมาจากแรงเหนี่ยวนำดึงของปัจจัยเรื่องต้นทุนและอุปสงค์ดังกล่าว

และสิ่งหนึ่ง ที่หลายคนอาจจะไม่เคยคิดถึงก็คือ ในรูปแบบการจับจ่ายใช้ซื้อซึ่งสินค้าต่างๆนั้น มักมีนัยยะแฝงของการแบ่งแยกชนชั้น อันเป็นผลจากความแตกต่างของราคาในสินค้าชนิดเดียวกัน ที่กำเนิดขึ้นจากวัตถุประสงค์ในการกำหนดราคาเพื่อแบ่งแยกตลาด ยกตัวอย่างง่ายๆเช่น ยาสระผมบางยี่ห้อเป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นกรรมาชีพ แต่ในขณะที่บางยี่ห้อ ใช้กันอย่างแพร่หลายในระดับชนชั้นกลางจนถึงชนชั้นสูง หรือบางที ในกรณีชนชั้นสูง ยาสระผมที่ใช้อาจก็เป็นแบรนด์นำเข้าแบบที่หาซื้อไม่ได้ตามร้านขายของชำ หรือร้านสะดวกซื้อ แต่ซื้อหาได้จากแหล่งสรรพสินค้าเฉพาะ ที่มีการจัดสรรสินค้าขาย โดยกำหนดจำแนกเอาจากระดับรายได้ของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นหลัก

ผมคิดว่า ลักษณะการบริโภคดังกล่าว น่าจะเรียกได้ว่าเป็น “การบริโภคเชิงสัญญะ” แบบหนึ่ง ซึ่งเป็นลักษณะประการหนึ่งของ “บริโภคนิยม” อันเป็นลักษณะที่ไม่น่าเป็นสิ่งพึงประสงค์หนึ่งของรูปแบบชีวิตพอเพียงเช่นกัน เพราะไม่ได้เป็นการบริโภคเพื่อการดำรงชีวิต หรือตามวัตถุประสงค์การใช้ของสิ่งถูกบริโภค หากแต่เป็นการบริโภคเพื่อแสดงอัตลักษณ์บางประการ

สิ่งมีชีวิตชนิดคน ที่ใช้ชีวิตการทำงานอยู่ใต้ร่มตึกเงาแอร์ ตกติดอยู่ภายใต้มายาคติที่ว่า ภาพลักษณ์ภายนอกอันดูดีนั้นเป็นสิ่งดึงดูดหนึ่งที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้ ย่อมมีความต้องการใช้ยาสระผม ที่นำมาซึ่งสุขภาพผมที่ดี นำมาซึ่งสภาพผมเงางาม ซึ่งเราปฏิเสธยาก ว่ามันเป็นคุณสมบัติที่สามารถมากับยาสระผมที่มีราคาสูง

หากมองภายใต้ความคิดที่ว่า ความเงางามสละสลวยแห่งสภาพผมนั้น เป็นสุขภาพดีอันพึงมีประการหนึ่งแห่งชีวิต แล้วเหตุใด สิ่งมีชีวิตชนิดคนอีกกลุ่มหนึ่ง ที่ทำงานตรากตรำ ติดกรำอยู่กลางแจ้ง จะต้องสิ้นสิทธิ์ในการทำการดูแลอัตสุขภาพในส่วนนั้น ด้วยไม่อาจข้ามผ่านกำแพงราคา ไปสู่สินค้าที่มีความเหมาะสม ในการดูแลตนในส่วนนั้นได้

ด้วยเหตุผลเชิง “สัมบูรณ์-สัมพัทธ์แห่งความรวยจน” ดังกล่าว ผมจึงเชื่อว่า ตราบใดที่อัตภาพตั้งต้นยังไม่เท่าเทียมกัน ความรวยความจนก็จะยังคงอยู่ต่อไป และมีอุปลักษณ์ดั่งน้ำกับน้ำมัน คือย่อมแยกชั้นกันอย่างชัดเจน ไม่มีวันเข้ารวมเป็นเนื้อเดียวกันได้

บอกตรงๆเลยว่า ผมเขียนบทความนี้ขึ้นมาด้วยความเคารพ (แม้จะไม่รัก) เพราะโดยส่วนตัวแล้ว ผมสนับสนุนแนวคิดแบบเศรษฐกิจพอเพียงจริงๆ ซึ่งผมพูดมาตั้งแต่ต้นๆแล้ว พูดมาก่อนการรัฐประหาร ว่าผมชอบมัน เพราะมันน่าจะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด อันเกิดจากการที่ร่างกายของผม หรือหลายๆคนตกอยู่ในสภาวะ “ร่างกายใต้บงการ” อันเกิดจากการชักเชิดของระบบ ให้ขยับแย่งแข่งขันกันไป จนอาจนำมาซึ่งการเคลื่อนไหวที่มากเกินพอดีไปของชีวิต จนร่างกายส่งแสดงสัญญาณเตือนออกมาในรูปความตึงเครียด (ในระดับร่างกายอย่าง Tension หรือถึงระดับสมองอย่าง Stress) ผมจึงรู้สึกชอบใจในแนวนโยบายดังกล่าว และทำให้ผมเกิดความยินดี ชื่นชมในพระอัจฉริยภาพของพระองค์ผู้ทรงประกาศ ว่าทรงสมเป็นอัจฉริยะกษัตริย์แห่งสยามประเทศยิ่งนัก

แต่โปรดเถิดใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท...

หรือใครก็ตามที่มีอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ช่วยตอบผมที เราควรจะมีความเท่าเทียมกันที่มากกว่านี้ ก่อนจะรับใจเชื่อ และปฏิบัติตามศาสนาใหม่ของบ้านเรานี้ใช่หรือไม่

หรือผมต้องถวายบทความนี้เป็นฎีกา??

บางที บทความนี้อาจจะสิ้นสลายคุณค่า หรือสูญสิ้นความหมายใดใดไปสิ้น ถ้าถูกตอบโต้มาด้วยคำบอกกล่าวที่ว่า ก็ไม่ได้บอกให้ต้องทำทุกคน ขอแค่หนึ่งในสี่ของประเทศ หรือใครที่สามารถทำได้ก็ทำ ใครที่ยังทำไม่ได้ ก็ยังไม่ต้องทำ

ถ้าว่าอย่างนั้น...ใครทำอะไรก็คงเรียกได้ว่าพอเพียงไปสิ้น
เพราะต่างก็ปฏิบัติอย่างเหมาะสมแก่อัตภาพตน...

จนอาจหลงลืมกันไปว่าในความเป็นจริงแล้ว...
แค่พอเพียง...อาจจะไม่เพียงพอ

“เฮ้ย!!” ทาโร่ร้อง ผมสะดุ้ง

“อะไรวะ?”

“กูอิ่มแล้ว มึงสนมั้ย?”

“ไม่ล่ะ” ผมปฏิเสธ “กูไม่กินอ้วก”

“ภายใต้กระเป๋าสตางค์ที่โล่งว่างของมึง เพราะหาเงินได้ไม่พอแดก แม้แต่แดกอย่างประหยัดเพื่อพออยู่ก็ยังไม่พอแดก หลังจากอ้วกทุกอย่างออกไปหมด และเริ่มหิว มึงคิดว่ามึงจะทำยังไง?”

ผม...มองไปที่กองอ้วกที่เหลืออยู่อย่างครุ่นคิด
หรือจะลองพอเพียงดู??
มัน...จะเพียงพอหรือไม่อย่างไรกัน??


 

หมีมองคน: “Quotation Ethics”; จรรยาการ “Quote” - “ให้เกียรติ”, “หวาดกลัว” หรือ “หาพวก”

บอกกันก่อนเลยว่า “Quotation Ethics” (ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกว่า “จรรยาการ Quote”) นั้นเป็นคำที่ผมสร้างขึ้นเองเพื่อใช้ในข้อเขียนนี้

ในแวดวงวิชาการ (ทั้งการเขียนและการพูด) นั้น ทุกๆท่านคงคุ้นเคยกับจรรยาการ “Quote” หรือ “Quotation” อันหมายถึงการยกคำกล่าวของผู้อื่นมาอิงอ้าง โดยมีการกล่าวระบุว่า คำกล่าวนั้นเป็นของใคร กันเป็นอย่างดี

ยกมาทั้งดุ้นก็บอกว่า ใครคนนั้น “กล่าวว่า” แต่หากใช้การ “ถ่ายความ” (Paraphrase) ก็จะบอกว่า “ใครคนนั้น” กล่าวไว้ “เป็นความว่า”

หรือแม้ไม่ใช่แวดวงวิชาการ เพียงในรูปแบบการสนทนาทั่วๆไป สนทนาในเรื่องราวต่างๆ หรือในการทำปัญหาภิปราย ก็ยังคงมีจรรยาในการ “Quote” แฝงอยู่ แม้กระทั่งในบางครั้ง ผู้กระทำการ “Quote” ไม่ได้รู้ตัวด้วยซ้ำ ว่าที่ตัวเองกำลังกระทำนั้น เรียกว่าการ “Quote”

ซึ่งหากเป็นการพูดแล้ว บางครั้งมีการใช้ภาษากายในการ “Quote” โดยใช้สองมือ ชูมือละสองนิ้ว (นิ้วชี้และนิ้วกลาง) ขึ้นประกบข้างขมับ แลไปคล้ายทำท่าเสมือนกระต่าย ผิดแผกตรงที่เราจะผงกนิ้วทั้งสองระริกรัว เร็วช้าต่างกัน มองแล้วเห็นเป็นเสียง “กริ๊กๆ” หรือ “กรึ๊กๆ” (นี่ผมเห็นเองนะ)

ด้วยส่วนตัวแล้วตัวเองเป็นคนใส่ใจใน “แรงจูงใจ” ของการกระทำมากกว่า “ตัวการกระทำ” ที่แสดงออกมา ผมจึงตั้งกังขาขึ้นมาว่า ในกรรมจรรยาว่าด้วยการ “Quote” นั้น แท้จริงแล้ว มีแรงจูงใจใดเป็นตัวขับหลัก

เท่าที่คิดออกได้ในตอนเริ่มเขียนนี้...มีสามแรงจูงใจดังหัวเรื่อง
เดี๋ยวเขียนไปเรื่อยๆอาจงอกมาอีก...

รูปแบบแรกที่หาเจอ คงยากจะเรียกเป็นแรงจูงใจ แต่คงดูเข้าทีกว่าหากจะเรียกว่าเป็น “เหตุผล” ว่า เป็นการ “Quote” เพื่อให้เกียรติแก่ตัวผู้เป็นเจ้าของคำพูด ว่า “ใครคนนั้น” เป็นผู้พูดคำ, วลี หรือประโยคใดใดที่ตัวผู้เขียนยกมากล่าวอ้างนั้นเป็นคนแรก

ผลจากแรงจูงใจรูปแบบแรกที่ผมค้นพบ นำมาซึ่งแรงจูงใจอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นเพราะการ “Quote” นั้นไม่ได้เป็นเพียง “จรรยา” ในการเขียนอ้าง หากแต่การที่ต้องให้เกียรตินั้น ได้กลายมาเป็น “กฎ” (Rule) หนึ่งในการเขียนอ้าง เรียกว่าเป็น “Quotation Ethics” ภายใต้เงื่อนไข “ความหวาดกลัว”

ด้วยว่า หากไม่ทำการ “Quote” แล้ว อาจต้องตกเป็นเหยื่อของกฎหมายลิขสิทธิ์ ว่าด้วยการนำปัญญา (ในรูปคำพูด) ของคนอื่นมากล่าวอ้างโดยมิได้รับอนุญาต ซึ่งแม้บางครั้งไม่ได้ถึงขั้นเกิดเป็นคดีความตามกฎหมาย แต่อย่างเบาๆเบื้องต้นก็คือ ได้รับผลตรวจเป็นสอบตก จากใครก็ตามที่ตั้งแท่นอยู่บนฐานะเสมือนบรรณาธิการผู้ต้องอ่านความงานนั้นๆ (อาจารย์ผู้อ่านรายงาน รายงานวิชาสัมมนา วิทยานิพนธ์ หรือแม้กระทั่งเพื่อน หรือใครก็ตามที่แวะเวียนมาอ่าน) หรือตกมาตรฐาน ในเรื่องของการมีคุณสมบัติหนึ่งว่าด้วยการเป็น “งานเขียนที่ดี”

ผมเชื่อว่า เมื่อ “จรรยา” กลายเป็น “กฎ” แล้ว ผลบังคับใช้ของมันย่อมสูงกว่า เพราะเมื่อมีการล่วงละเมิดเกิดขึ้น “กฎ” มีผลลงโทษที่เป็นรูปธรรม และสัมผัสเห็นได้ชัดเจนกว่าความน่าละอาย ยามไม่ได้ปฏิบัติในสิ่งซึ่งเป็น “จรรยา”

ในความหวาดกลัวดังกล่าว นอกจากจะมองว่าเป็นความหวาดกลัวเนื่องจาก “กฎ” แล้ว ผมยังมองว่า เป็นความหวาดกลัว (ในบางคน) ว่าตัวเองอาจจะ “พูด” หรือ “เขียน” ผิด จึงต้องอ้างเอาว่าสิ่งที่ “เขียน” หรือ “พูด” นั้น เป็นการสืบทอดความคิดมาจากผู้อื่น หาได้คิดค้นขึ้นเองไม่ ซึ่งลักษณะความกลัวผิดนี้มักพบได้จากท่าทีการพูดอันประนีประนอม ซึ่งบางครั้งอาจไม่ใช่ความกลัวที่จะต้องผิด แต่เป็นไปเพื่อความนุ่มนวลของวงสนทนา ซึ่งคงมีแต่ตัวผู้พูด ที่รู้ว่าตนกำลังทำอะไรอยู่

แต่หากเป็นไปเพราะกลัวผิด ผมขอวิเคราะห์ว่า เป็นไปเพราะหนึ่ง ผู้ Quote กำลังไม่มั่นใจในสิ่งที่ตัวเอง Quote อันอาจเป็นผลมาจากความตระหนักแก่ใจ ว่าตนนั้นไม่ได้รู้ลึกรู้จริง หรือสอง เพราะคู่หรือวงสนทนานั้นกำลังมีอิทธิพลทางความคิด และเหตุผลที่หนักแน่นกว่า การ Quote ของผู้ Quote จึงเป็นไปอย่างกลัวๆกล้าๆ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จิตวิเคราะห์ดังกล่าวก็เป็นไปเพียง “จิตวิทยาประสบการณ์” ของผมที่สั่งสมมา ไม่ใช่ “จิตวิทยาวิชาการ” (เพราะไม่เคยเรียน) ดังนั้น จึงอาจเป็นไปเพียงตามตรรกะ Enneagram คน 6 ของผม ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องเป็นสัจจะอันเป็นนิรันดร์

แต่อย่างน้อย การ “Quote” ก็อาจจะเป็นหนทางง่ายๆหนทางสุดท้าย ในการเอาตัวรอดจากการ “พูด” หรือ “เขียน” ผิดไปได้ โดยบอกว่าตนก็ไม่รู้ แต่คนๆนั้น (ผู้ถูก “Quote”) พูดอย่างนั้น ซึ่งผลอีกประการหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ ตัว “ผู้ Quote” ย่อมเสียความน่าเชื่อถือไป

และประการหนึ่งซึ่งจะลืมไปมิได้ คือเมื่อการ Quote ถูกโยงเข้ากับความกลัว ย่อมเป็นไปได้ ที่มันจะฝังลงไปในสัญชาตญาณ ทำให้การ Quote นั้นเป็นไปโดยสัญชาตญาณ ซึ่งมิได้ผ่านกระบวนการการคิดใดใดทั้งสิ้น เพราะความกลัวนั้นก็เป็นสัญชาตญาณพื้นฐานอย่างหนึ่งของมนุษย์

อีกประการหนี่งที่ลืมไปมิได้ (งอกออกมาพอดี) นั่นคือการ “Quote” เพื่อทำลายหรือล้มล้างคำที่ “ถูก Quote” นั้น ซึ่งในรูปแบบการ “Quote” ดังกล่าว จำต้องใช้ปัญญาในการถอดรื้อสิ่งที่ “ถูก Quote” และผมเชื่อว่าหากใช้ปัญญาและเหตุผลกันจริงๆ การ “Quote เพื่อทำลายสิ่งที่ถูก Quote” นั้น อาจนำมาซึ่งการก่อเติมเสริมสร้างต่อปลายความคิดอื่นๆต่อไปได้

ผมคงเกริ่นนานไปแล้ว...

ที่อยากพูดจริงๆก็คือ การ “Quote” เพื่อเป็นการ “หาพวก”

โดยมากแล้วผมมักจะพบการ “Quote” ในลักษณะดังกล่าวจากการพูด โดยผู้พูดมักพูดโดยอ้างเอาคำของนักวิชาการ หรือนักคิดต่างๆ หรือแม้แต่คนที่ตนรู้จักมาพูด พระพุทธเจ้ากล่าวว่า พระเยซูกล่าวว่า นิตท์เช่กล่าวว่า มาร์กซ์กล่าวว่า เม่งจื๊อกล่าวว่า เล่าจื๊อกล่าวว่า โมกเจี๊ยว (??) กล่าวว่า ใครก็ไม่รู้กล่าวว่า

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงดำรัสว่า...
อะไร...ทำนองนั้น

ตลกที่สุดคือบางคนเอาคำของปราชญ์ วิปลาสมาสอนปราชญ์ วิปลาส โดยลืมไปว่าผมเองที่เป็นคนพูดกับเขา แล้วเขาก็เอามันมาพูดกับผมโดยหวังจะสอนผม ด้วยท่าทางที่คิดว่าคำพูดนั้นมันเจ๋ง พูดแล้วหล่อ ประหนึ่งตัวเขาคิดมันได้เองและพูดมันออกมาเอง ผมเองไม่ได้ใส่ใจอะไรที่เขาไม่ Quote และไม่ได้คิดด้วยว่าที่ตัวเองเคยพูดไปนั้นมันหล่อ แต่มันตลกตรงที่พอผมบอกว่า “มึงคิดเหมือนกูเลย!!” แล้วเขาทำหน้าเหมือนกับนึกออก ว่า “โอ๊ะ!! มึงนี่หว่าที่สอนกูไป”

ผมเชื่อว่า ในการยกอ้างนั้น ย่อมเป็นไปได้ที่เขาจะอ้าง เพื่อบอกว่าตัวเองกำลังคิดเชื่ออย่างไร แต่แน่นอนว่ามีอีกไม่น้อย ที่อ้างเพื่อหาพวก หาพวกมาช่วยรุมเพื่อเอาชนะ โดยเชื่อว่าปราชญ์นักคิดเหล่านั้นเป็นผู้ยิ่งใหญ่ มีความคิดที่ถูกต้อง และน่าจะสร้างน้ำหนักให้กับคำพูดของตัวผู้อ้างได้ และโดยไม่ทันได้คิดไปว่า ตัวผู้ถูก Quote นั้น อาจเพียงคิดความนั้นมาเพื่อแสดงทรรศนะส่วนบุคคล ไม่ได้เพื่อฟาดฟันเอาชนะกับใครแต่อย่างไร ซึ่งการอ้างเพื่อเอาชนะนั้น ถือเป็นการใช้เครื่องมือผิดวัตถุประสงค์หลักวิธีหนึ่ง และเป็นการไม่เคารพต่อผู้พูดได้อย่างน่ารังเกียจที่สุด

ผมว่า...พระราชดำรัสคงโดนบ่อยสุด

ก็ไม่ได้บอก ว่าการอ้างในลักษณะดังกล่าวนั้นผิดถูกแต่อย่างใด เพราะมันเป็นความต้องการแย่งชิงพื้นที่การปกครองของตน การที่คนผู้หนึ่งมุ่งมั่น และเชื่อว่าความคิดของตนถูกต้อง และอยากให้ผู้อื่นเชื่อตาม การที่ผู้อื่นไม่เชื่อตาม ย่อมหมายถึงเขาได้สูญเสียพื้นที่การปกครองทางความคิด หรือแม้กระทั่งต้องสูญเสียพื้นที่ของความเคารพ ในความคิดเชื่อของตัวเองไป

แม้ข้อเขียนนี้อาจจะแลดูเลื่อนเจื้อน ล่องลอยในเชิงประเด็นเนื้อหาไปบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่อยากจะบอกก็คือ ไม่ว่าจะทำอะไร พึงรู้สักนิด ว่ากำลังทำ “เพราะอะไร” และกำลังทำ “เพื่ออะไร”

เพราะนั่นไม่เพียงจรรยาของการ Quote แต่น่าจะเป็นจรรยาของการกระทำใดใดก็ตาม ที่พึงมีโดยถ้วนทั่วทุกตัวคน

“แล้วมึงล่ะเบิร์ด?” เสียงไอ้ทาโร่ลอยมา “มึ้งโขดถ่ำพรื่อ?”

โดยส่วนตัว ผม Quote ด้วยเหตุผลสองประการ คือหนึ่ง เพื่อบอกว่าผมเห็นด้วยกับความคำดังกล่าวนั้น และสอง เพื่อบอกว่าผมมีความคิดแบบเดียวกับเจ้าของคำความนั้น โดยผมจะลงท้ายคำ Quote ไปเลยว่า ผมคิดเช่นนั้นมาก่อนที่จะเจอความคำดังกล่าว เพื่อไม่ให้ไอ้บ้าที่ไหนมาบอกได้ว่า ผมเอาคำคนอื่นมาพูด ทั้งๆที่จริงๆผมคิดเช่นนั้นมาก่อนจะได้ยินคนอื่นพูด

ถามว่าเพื่ออะไร อะไรคือเหตุผลของเหตุผลประการที่สอง คำตอบก็คือ ผมยังคงมีอัตตา อัตตาที่ต้องการคงไว้ซึ่งพื้นที่ในการปกครองตัวเอง คงไว้ซึ่งพื้นที่ความเชื่อที่ว่า “คิดก่อน” หรือ “คิดหลัง” ย่อมไม่สำคัญเท่า “คิดได้”

“เข้าใจบ่?”

 

หมีมองคน: ความในใจจากรับน้องที่ผ่านมา “ปัญหา” ที่ได้รับการศึกษา ย่อมนำมาซึ่ง “ปัญญา” อันเป็นนิรันดร์

อันที่จริง กิจกรรมรับน้องของกลุ่มผมก็ผ่านมาได้หลายเดือนแล้ว แต่มันยังมีเรื่องค้างคาใจบางอย่างที่ยังคอยกวนใจ และคิดว่าถึงเวลาเสียทีที่จะพูดมันออกมาผ่านตัวหนังสือ

ผมอยากให้ทุกๆคนที่อยู่ในที่ประชุมสรุปงานได้อ่าน ส่วนคนอื่นๆที่แวะเวียนมา หากสนใจจะอ่านก็ไม่น่าใช่เรื่องเสียหายอะไร

มันลึกกว่ารับน้อง...

เรื่องน่าเบื่อมันเริ่มขึ้นในตอนประชุมสรุปงาน ซึ่งผมขอยืนยันว่า แม้ในเวลานั้นตัวเองจะมีสารเสพติดในร่างกายถึงสามชนิดเป็นอย่างน้อย แต่ละชนิดมีปริมาณค่อนข้างมาก และไม่ได้นอนมาตลอดหนึ่งวันหนึ่งคืนแห่งกิจกรรมมากมาย แต่สติของผมยังคงครบถ้วน บางทีอาจจะครบถ้วนยิ่งกว่าเวลาปรกติเสียด้วยซ้ำไป

กับทั้งท่วงท่าสุดเกรี้ยวกราดยามแสดงความคิดเห็นนั้น นั่นก็ยังคงเป็นลีลาปรกติยามพูดถึงสิ่งที่ไม่เห็นด้วย แม้แต่ท่าทีแข็งกระด้างยามพูดถึงสิ่งที่เห็นดีงามด้วย นั่นก็ยังเป็นอิริยาบถสามัญของตัวเอง หาได้เป็นสิ่งที่ได้รับการปรุงแต่งเพิ่มเติมด้วยฤทธิ์ของสารเสพติดแต่อย่างใด

ผมว่าปัญหามันเกิดจากการที่น้องคนหนึ่ง ซึ่งเป็นปีที่มีหน้าที่จัดงาน มีปัญหากับเพื่อนหลายๆคนในปีเดียวกัน น้องคนดังกล่าวสนิทกับผม และสำคัญที่สุดคือ น้องคนนั้นเป็นผู้หญิง

ก็ไม่ปฏิเสธ หากลีลาหม้อสาวที่ผมพ่นพรายไปตลอดเวลารับน้องทุกครั้ง จะทำให้พวกเขาติดภาพ หรือสร้างภาพว่าจริงๆแล้วผมเป็นคนอย่างนั้น และเช่นกันหากพวกเขาจะคิดว่า ผมคงจะเป็นเช่นนั้นกับน้องสาวคนนั้นด้วย ซึ่งก็เป็นธรรมดา เพราะผมก็ถูกมองว่าเป็นคนอย่างนั้นมาตลอดชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย

และผมก็ไม่ว่าอะไร หากไม่มีใครคิดจะใส่ใจถึงความเป็นคนรักจริงของผม เพราะผมไม่เคยแสดงให้พวกเขาเห็น ด้วยคิดว่านั่นเป็นแง่มุมที่ผมคิดว่าไม่จำเป็นจะต้องแสดงให้คนส่วนใหญ่ได้เห็น ความรักจริงของผมมีค่า และมันควรได้แสดงให้เห็นแต่เฉพาะในคนที่ผมให้ค่า หรืออย่างน้อยที่สุดคือในเวลาที่ผมอยากพูด

และสำคัญกว่านั้นคือ ผมไม่ใช่พวกสร้างภาพ (เหมือนอย่างที่ผมเห็นหลายๆคนพยายามทำ) ไม่คาดหวังว่าจะต้องดูดี แต่แน่นอน ผมยอมรับไม่ได้กับการถูกกล่าวหาในสิ่งที่ผมไม่ได้เป็น

ในท่วงท่าและวาจาการหม้อที่ส่งออกไป เพราะผมรู้ได้ว่ามันสามารถนำมาซึ่งความเฮฮาของคนส่วนใหญ่ ซึ่งคงต้องขอโทษ “เหยื่อ” ไว้ในที่นี้ หากเธอคนใดที่เคยตกเป็น “เหยื่อ” ไม่ได้รู้สึกสนุกไปด้วย เพราะผมอาจจะคิดถึงความสนุกมวลรวมมากเกินไป โดยลืมคำนวณไปซึ่งความสนุกของตัวแปรบางตัว

คงไม่ต้องเอ่ย หรือกล่าวถึงว่าน้องคนที่ผมสนิทด้วยนั้นเป็นใคร และปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นคืออะไร เพราะเชื่อว่าคนที่อยู่ในที่นั้นคงรู้กันดีอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ผมอยากพูดก็คือ สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อในเวลาแห่งการสรุปงานนั้นก็คือ เหตุแห่งปัญหาทั้งหมดในการรับน้องที่ผมพูดถึงนั้นมีประการเดียว คือการที่พวกเขาส่วนหนึ่งที่อยู่ในที่นั้นมีปัญหากับคนๆหนึ่ง จนนำมาซึ่งการไม่สื่อสารกันให้เพียงพออย่างที่ควรจะเป็น และทำให้เกิดปัญหาที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นมา

เวลาพูดถึงปัญหารับน้อง ผมไม่ได้พูดถึงปัญหารับน้อง เพราะปัญหาส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นในการรับน้อง แม้ดูแล้วคล้ายว่าจะเกิดขึ้นเพราะการรับน้อง แต่เท่าที่สังเกตมา ปัญหามันเกิดจากคนที่ทำกิจกรรมรับน้อง

มันมักจะเกิดจากการไม่พูดจากัน...
หรืออย่างน้อย...ไม่พูดจากันอย่างที่ควรจะเป็น

ผมพยายามอย่างยิ่งที่จะโยงปัญหาในการรับน้องเข้ากับชีวิตจริง ปัญหาอันเกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์กันระหว่าง “คนกับคน” สองฝ่ายซึ่งครบถ้วนด้วยอารมณ์ความคิดความรู้สึกและอคติ สองฝ่ายที่อย่างไรเสียก็ต้องมีปฏิสัมพันธ์กันไปจนตาย ตราบเท่าที่ใครก็ตามนั้นยังคงเรียกตัวเองว่าเป็น “คน” และค้นพบว่าตัวเองยังคงมีชีวิตอยู่ใน “สังคม”

การมีปฏิสัมพันธ์ทั้งเชิงทั่วไปและเชิงปัญหาระหว่าง “คนกับคน” นั้นไม่เคยมีคำว่าสิ้นสุด

ในการประชุมสรุปงานรับน้องทุกครั้ง (ที่ตัวเองเข้าสรุป) ผมพยายามสื่อให้เห็นว่า ปฏิสัมพันธ์เชิงปัญหาระหว่าง “คนกับคน” ที่ “ทำงานร่วมกัน” นั้น สามารถนำมาซึ่งปัญหาของงานได้

สิ่งที่ผมพยายามทำให้พวกคุณ ผู้มีส่วนร่วมกับงานทุกคนได้เห็นก็คือ ในการ “ทำงานร่วมกัน” นั้น เราควรจะจัดการกับปฏิสัมพันธ์เชิงปัญหานั้นอย่างไร เพราะ “ทำงาน” ที่ว่านั้น ผมไม่ได้หมายความเฉพาะแต่การรับน้อง แต่มันคือการทำงานใดใดก็ตาม ที่พวกคุณซึ่งยังคงอยู่ในระบบสังคมนั้นต้องเผชิญไปตลอดชีวิต

ในขณะที่สรุปงานรับน้องนั้น ผมได้พยายามสรุปแก่นสารของการจัดการปัญหาชีวิตไปด้วย แน่นอนว่ามันไม่มีสูตรสำเร็จ ไม่มีคำพูดสวยหรู แต่มันมีแนวทางที่ใช้ได้ และใช้ได้ไปตลอดชีวิตจริงๆ

ผมเพียงต้องการให้ศึกษา “ปัญหา” เพื่อให้เกิด “ปัญญา”

ในการศึกษา “ปัญหา” ในการรับน้องที่ผ่านมา ผมไม่ได้พยายามต่อว่า ก่นด่าให้ผู้ที่อยู่ในที่นั้นชดใช้ในสิ่งที่ทำกับน้องที่ผมมีความสนิทด้วยเป็นพิเศษคนดังกล่าว ผมไม่คิดว่ามีใครต้องชดใช้อะไร เพราะไม่ได้มีใครทำอะไรผิด กับทั้งความสนิทที่มีระหว่างผมกับน้องคนนั้น ไม่ได้ก่อผลอะไรนอกจากการทำให้ผมได้รับรู้ข้อมูลจากสองฝ่ายมากขึ้น อีกทั้งโดยส่วนตัวแล้ว ผมมีทักษะในการมองคนที่สูงพอ และสูงพอจะรู้ว่า แต่ละฝ่ายกำลังคิดอะไร และกำลังจะทำอะไรกับผม

เพราะฉะนั้น ผมย่อมไม่เข้าข้างใคร ข้างเดียวที่ผมเข้าไปคือข้างในของปัญหา เพื่อค้นให้พบปัญญาที่ซ่อนอยู่ในนั้น โดยพาทุกคนเข้าไปด้วย เพื่อได้ค้นพบซึ่งปัญญานั้นด้วยกัน

อย่างที่บอก กิจกรรมรับน้องคือปฏิสัมพันธ์เชิงทำงานร่วมระหว่าง “คนกับคน” และเป็นไปได้ที่มันจะนำมาซึ่ง “ปฏิสัมพันธ์เชิงปัญหา” ซึ่งตรงนี้จะแสดงความเป็นมืออาชีพ ว่าในขณะที่ทำงานนั้น คุณและใครก็ตามที่กำลังทำงานจะเลือกอะไร ความคิดอารมณ์ความรู้สึกและอคติของตัวเอง หรือสัมฤทธิ์ผลของงาน ที่ต้องใช้แรงงานร่วมกันนั้น

ซึ่งวันหนึ่งหลังจากเรียนจบไป คุณก็ยังคงต้องมีรูปแบบปฏิสัมพันธ์ร่วมดังกล่าวกับคนอื่นๆในสังคมอื่นๆที่ไม่คุ้นเคย ผมจึงหวังจะทำให้การศึกษาปัญหาลักษณะนี้เสียแต่เนิ่นๆ ได้นำมาซึ่งแนวทางในการแก้ปัญหาระหว่าง “คนกับคน” ให้ติดตัวคุณไปตลอดทั้งชีวิต

เหล่านั้นคือสิ่งที่ผมพยายามทำในการสรุปงานรับน้อง...

น่าเสียดาย ครั้งนี้ผมรู้สึกว่ามันถูกทำลายลงไปด้วยมุมมองที่คนกลุ่มหนึ่ง มีต่อความสัมพันธ์บริสุทธิ์ ความสัมพันธ์ในฐานะคนที่พอจะพูดคุยกันรู้เรื่องระหว่างผมกับน้องคนหนึ่ง ทั้งๆที่ผมรู้สึกว่ามันเป็นแค่ความรู้สึกดีๆของคนสองคน ความรู้สึกดีๆที่ไม่มีความแตกต่าง หรือมีประเด็นในเรื่องเพศหรือวัยเข้ามาเกี่ยวข้อง

ผมบอกตรงๆว่า ถ้าความสัมพันธ์ดังกล่าวนั้นทำให้ใจผมโอนเอียงไปข้างน้องคนดังกล่าวจริง รับน้องครั้งที่ผ่านมานี้ ย่อมต้องมีน้องผู้ชายคนหนึ่งถูกผมกระทืบ อย่างที่เรียกว่าผิดวิสัยคนใช้เหตุผล และหลีกเลี่ยงการใช้กำลัง (อย่างไม่จำเป็นและไม่ควรจะต้องจำเป็น) ของผมไปอย่างแน่นอน

แต่ผมก็หวัง ว่าน้องผู้ชายคนนั้นคงไม่ลืมไปว่า ในงานไม้สักสัมพันธ์ที่เขาเมาจนข้ามเส้นสติไปนั้น รอยตีนของเขาที่เหยียบย่ำลงมาบนตัวผมอย่างคึกคะนอง ไม่ได้สร้างอะไรนอกจากรอยยิ้มของผม ว่าไอ้น้องคนนี้มันเมาได้เม๊า...เมา

ส่วนกับน้องอีกกลุ่ม ซึ่งเป็นรุ่นพี่ของน้องปีจัดงาน เข้าร่วมสรุปงานในช่วงกลางครัน และด่วนสรุปว่าผมกำลังพูดถึงเรื่องของน้องผู้หญิงคนสนิท (ในย่อหน้านี้ผมจะสมมติว่าเธอชื่อน้องบี) จึงเดินออกจากห้องสรุปงานไป ผมก็ขอบอกเลยว่า ปัญหาก็คือ ผมแม่งกำลังพูดถึงปัญหา และปัญหาเสือกเป็นเรื่องของน้องกลุ่มหนึ่งกับน้องบี พอพูดถึงปัญหานั้น มันก็เลยต้องมีการพูดชื่อของน้องบีอยู่เป็นนิจเนือง และปัญหาที่สำคัญที่สุดคือ ผมกับน้องบีแม่งเสือกสนิทกัน ซึ่งนั่นคงทำให้พวกเขาวาดภาพอะไรบางอย่างลงไปในใจ และปฏิเสธการศึกษาปัญหาของผม โดยที่ยังไม่ทันได้ฟังความอะไรในเชิงลึก ซึ่งกับพวกเขานั้น ผมได้พยายามหลายทีแล้วในการบอกให้พวกเขาใช้สมองให้มากกว่าตา มองสิ่งต่างๆให้ลึกกว่าที่ตาเห็น ซึ่งผมก็ตอบไม่ได้จริงๆ ว่ามันประสบความสำเร็จแค่ไหน

แต่ข้อหนึ่งที่ผม และพวกคุณ และอีกหลายๆคนมีเหมือนกันก็คือ เราอาจได้เคยแสดง “ความเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี” ให้น้องเห็น เพื่อให้เขาได้ไปค้นหาต่อไปว่า แล้วสิ่งใดกันที่เรียกว่าดี

และผมขอบอกพวกคุณกลุ่มนั้น และใครก็ตามอีกว่า หากคิดจะเข้าสรุปงาน ผมขอให้มาก่อนเวลา และทำความเข้าใจในประเด็นปัญหากันก่อน ไม่ใช่คิดว่าเป็นเวลาที่ตัวเองอยากมาก็มา มันแสดงถึงความไม่เคารพรุ่นน้อง ที่ต้องมานั่งทนหลังคดแข็งนั่งฟังการสรุปที่บางครั้ง พวกเขาบางคนอาจไม่ได้เห็นค่าอะไรของมัน คุณต้องคิดสักนิดว่า ไม่ว่าเหตุผลที่พ่อแม่ของน้องๆส่งพวกเขามาเข้ามามหาวิทยาลัยคืออะไร มันย่อมไม่ใช่ส่งมาจัดงานรับน้อง ลำพังพวกเขาต้องมาจัด มาทำในสิ่งที่เรายัดเยียดกันลงมาในฐานะที่เชื่อว่าเป็นประเพณีที่ดี เราเองก็ควรจะสำนึกขอบคุณในการยอมรับของพวกเขาให้มากเข้าอยู่แล้ว ดังนั้น จะทำอะไรพึงให้เกียรติแก่ความเสียสละของเขาบ้าง

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การให้เกียรติย่อมไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องยอมเห็นแก่เขา ภายใต้ความคิดที่ว่าอย่างน้อยเขาก็ได้พยายามอย่างสุดความสามารถ ความคิดแบบนั้นรังแต่จะสร้างมะเร็งชีวิต สร้างมะเร็งทัศนคติแก่ตัวผู้รับ เขาควรจะได้รับรู้ว่า ความพยายามใดใดก็ตาม ไม่ว่ามันจะมากมายสูงส่งเพียงใด หากมันไม่ตอบโจทย์ใจความแห่งการกระทำแล้วไซร้ มันย่อมไม่หมายถึงความสำเร็จ

นั่นคือชีวิตจริง...

ไม่ใช่ทุกกรณี ที่คำพูดสูตรสำเร็จอย่าง “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” จะใช้ได้กับการดำเนินชีวิตในสังคมที่มีบริบทซับซ้อนอย่างทุกวันนี้

และพวกคุณเองได้เคยเรียนรู้มาแล้ว...
ไม่ว่า...จะเข้าใจมันหรือไม่ก็ตาม

ซึ่งตรงนี้ขอฝากไว้สำหรับผู้สรุปงานต่อๆไปทุกคน ว่ากรุณาคุยกันเองให้รู้เรื่อง ก่อนที่จะเข้าไปคุยกับคนอื่น เพราะผมบอกตรงๆว่า ความเหินห่างทำให้ผมไม่รู้ว่าใครจะพูดอะไรบ้าง ผมไม่รู้ว่าใครคิดอะไรบ้าง และพวกคุณเองก็คงไม่รู้เช่นกัน ว่าผมคิดอะไรอยู่บ้าง และผมจะพูดอะไรบ้าง และหากมีความเหินห่างเกิดขึ้นระหว่างพวกคุณ พวกคุณเองก็จะไม่อาจล่วงรู้ ว่าคนคุ้นหน้ารอบกายนั้นกำลังคิดอะไรอยู่บ้าง

สำคัญที่สุดและสุดท้าย ผมอยากจะบอกทุกคนว่า ในตอนที่ผมกำลังตอบปัญหาอันเกิดจากการรับน้อง ผมไม่ได้ตอบแค่ปัญหาของการรับน้อง

ผมกำลัง...ตอบปัญหาของชีวิต

ผมคงไม่เข้าไปวุ่นวาย ไม่เข้าไปเป็นตัวนำในการจัดการรับน้องอีก เพราะแม้จะทำมาแค่สามครั้งแต่ผมก็รู้สึกเหนื่อยหน่ายเต็มทีกับปัญหาซ้ำซาก ที่รุ่นพี่หลายๆคนซึ่งเคยผ่านการทำงานน่าจะตอบได้ แต่ก็ยังไม่วายที่มันจะหลุดขึ้นมาถึงผม ก็เข้าใจนะว่า มันคงเป็นผลมากจากคำแนะนำที่ว่า มีอะไรก็ให้คุยกับรุ่นพี่ และเข้าใจว่าบางครั้งคุยกับรุ่นพี่มาดี ก็ยังมาโดนผมตีกลับ (ด้วยเหตุผลที่หนักแน่นกว่า) เสียอีก บางทีนี่อาจจะเป็นการตัดปัญหา ให้มาคุยกับผม หรือรุ่นพี่ที่แก่กว่าผมเสียเลย ก็เข้าใจ แต่ก็อดเบื่อไม่ได้เหมือนกัน

เอ่อ...ถึงเบื่อแต่ก็ยังยินดีตอบนะ

บอกแล้วว่า ไม่ได้ตอบปัญหารับน้อง แต่มันคือการตอบปัญหาชีวิต

ก็ขอประกาศวางมืออย่างเป็นทางการ เป็นอันว่าสบายใจกันได้ ว่าต่อไปนี้ผมจะไม่เข้าไปวุ่นวายกับการรับน้อง (โดยไม่ได้รับเชิญ) อีก ที่ผ่านมา หากท่วงท่าความคิดของผมได้ไปเหยียบย่ำน้ำใจของใครเข้า ผมก็คงจะขอโทษไว้ณ.ที่นี้ ขอโทษจากใจจริง โดยไม่อ้างถึงซึ่งความหวังดีใดใดทั้งสิ้น

แต่ผมจะไม่ยอมรับว่าที่ผมทำไปนั้นมันผิด เว้นเสียแต่ว่าพวกคุณจะมีเหตุผลที่หนักแน่นเพียงพอมายืนยัน ว่าสิ่งที่ผมทำนั้นผิด แต่ผมขอแนะนำว่า การหาผิดถูกเพื่อแบ่งฝ่ายหรือเอาชนะกันนั้นไม่ใช่เรื่องดี เราควรศึกษาซึ่งความแตกต่างทางความคิด อันนำมาซึ่งอคติหรือความเกลียดชังใดใด เพื่อได้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกันที่มากขึ้น

แต่ว่า ถึงจะไม่ได้วุ่นวายกับการจัดรับน้องแล้ว ผมก็ยังยืนยันว่าผมยินดีที่จะให้คำแนะนำ หากยังมีคนต้องการ เพราะอย่างที่ผมบอกไป ผมถือว่านั่นคือการตอบปัญหาชีวิต

และสำคัญที่สุด...ผมจะยังคงไปรับน้องตราบที่ยังไปได้

เพราะไม่ว่าที่ผ่านมาจะเป็นอย่างไร จะมีเรื่องดีเรื่องไม่ดี มีเรื่องถูกใจมีเรื่องขัดใจมากน้อยเพียงไหน การรับน้อง หรือมีกิจกรรมใดใดร่วมกับพวกคุณ ก็เป็นความทรงจำที่ดีสำหรับผมเสมอ

ผมคงไม่พูด...ว่าผมรักพวกคุณ

แต่ผมขอขอบคุณ...

ขอบคุณที่สอนอะไรผมมากมาย และกลายเป็นส่วนหนึ่งในการเสริมสร้าง ให้ตัวผมได้เป็นตัวผมอย่างที่เป็นในทุกวันนี้

ก้มหัวขอบคุณให้จากใจจริงครับ...

ปล.1: ลองทบทวนกันบ้างนะครับว่า ภายใต้เงินแต่ละครั้งที่จ่ายลงไปเพื่อการรับน้องนั้น มันทำให้บรรลุจุดประสงค์ ที่พวกเราใช้เป็นเหตุผล (ข้ออ้าง?) ในการจัดกิจกรรมรับน้องมากน้อยแค่ไหน เพราะในความรู้สึกของผม ในขณะที่ตัวเงินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ความคุ้มค่าของมันกลับกำลังลดน้อยลงไปทุกที จนเราควรจะคิดถึงการรับน้องในรูปแบบอื่น ที่น่าจะทำให้บรรลุจุดประสงค์ได้มากกว่า และคุ้มค่ากับเงินที่ลงไปมากกว่ากันได้แล้ว พวกคุณเรียนเศรษฐศาสตร์ น่าจะมีความคุ้นเคยกับ Opportunity Cost, Cost & Benefit Analysis และ The 3 Core Questions of Production; What, How, For Whom เป็นอย่างดีในระดับหนึ่ง ซึ่งในสิ่งสุดท้ายนั้น ผมขอแนะนำว่า ก่อนจะผลิตอย่างไร เราต้องคิดให้หนักก่อนว่า เรากำลังจะผลิตเพื่อใคร และเรา ควรที่จะรู้จักใครที่เรากำลังจะผลิตเพื่อนั้นให้ดีเสียก่อน

ปล.2: และถ้าใครข้องใจอะไร ไม่ว่าจะเรื่องอะไร ถามเถอะครับ ถามมาได้ ผมยินดีตอบทุกสิ่ง ผมสนับสนุนการพูดคุยทำความเข้าใจกัน และไม่มีความจำเป็นที่คุณจะต้องถามในฐานะที่ผมเป็นพี่คนหนึ่ง ในการพูดคุยเรื่องความคิดกัน ผมยินดีจะถอดสถานะทางสังคมจอมปลอมทั้งหลายทั้งปวงทิ้งไป คุณสามารถถามได้โดยลืมผมในฐานะ “พี่เบิร์ด” หรือ “ป๋าเบิร์ด” ไป และถามในฐานะที่ผมเป็นเพียง “ไอ้เหี้ยเบิร์ด” ตัวหนึ่ง เพราะผมเชื่อว่า “มารยาททางสังคมเป็นเพียงตัวบิดเบือนความจริงตัวหนึ่ง” เท่านั้นครับ

This page is powered by Blogger. Isn't yours?