Thursday, May 19, 2005

 

เด็กแนว...

ไม่รู้จะช้าไปรึเปล่า...แต่พอดีเขียนบทความนี้เก็บไว้ในธัมบ์ไดรฟ์ของตัวเองเลยเอามาลงให้อ่านกัน
เด็กแนว...In-dy-pendence or In-da-Dependence

จริงๆแล้วสิ่งแรกที่ควรคำนึงเมื่อคิดจะแสดงทรรศนะถึงอะไรสักอย่างก็คือ...
เราเข้าใจในสิ่งที่เรากำลังคิดจะแสดงความเห็นถึงนั้นเพียงไหน?
หากจะเพียงพ่นพล่ามไปตามปัจเจกทรรศนะในหัวตัวเองซึ่งไม่ใช่บทบรรเลงของเพลงแห่งตรรกะสากล สิ่งที่ทำไปก็คงไม่ต่างอะไรจากการสำเร็จความใคร่ทางความคิด เป็นการกำรูดปากกาตามจังหวะจินตนาการเพียงเพื่อให้น้ำหมึกแห่งตัณหาเชิงทรรศนะที่ภายในได้ระบายออกมา
และมันจะไปเปื้อนเลอะเหนอะใครที่ไหนก็ช่าง...
จริงๆแล้วผมก็ไม่ได้ชอบการสำเร็จความใคร่(ทางทรรศนะ)ด้วยวิธีดังกล่าว(ใช้ปากกา)นัก ยิ่งหากทำด้วยคีย์บอร์ดแล้วมันคงทุลักทุเลเชิงกายภาพน่าดู
แต่วันนี้ขอสักทีแล้วกัน
ขอสำเร็จความใคร่(ทางทรรศนะ)ด้วยปากกา(คีย์บอร์ด)โดยการเอาเด็กแนวเป็นต้นแบบสักหน่อย...
แต่ถ้าจะทำโดยคิดถึงเด็กแนวทุกคนที่เดินพล่านอยู่ทั่วผืนแผ่นดินไทยผมคงต้องเหนื่อยตายเสียก่อน ดังนั้น คงต้องขอทำโดยคิดถึง “สิ่งที่สามารถจะเรียกได้ว่าคือความเป็นเด็กแนว” แทน
หากเปรียบสังคมเป็นเหมือนร่างกายของมนุษย์แล้วเด็กแนวซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสังคมในตอนนี้คืออะไร?
อสุจิ...อย่างแน่นอน
หากมองกันอย่างลึกๆในเชิงเปรียบเทียบดังกล่าวแล้วเราจะเห็นว่าเด็กแนวก็คือสำเนาพันธุกรรมของโกดังโครโมโซมที่เรียกว่าสังคม คือรูปแบบของพฤติกรรมการแสดงออกอันเป็นภาพฉายของแนวคิดความต้องการที่ถูกปลูกฝัง...หรืออาจจะถูกผลักดันจากสังคม
ว่ากันว่าบาปนั้นสามารถตกทอดทางดีเอ็นเอ...
ด้วยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันนั้นยังไม่มีตรรกะเชิงวิทยาศาสตร์แขนงใดยืนยันได้ว่าอสุจิมีความนึกคิด แต่ที่แน่ๆคือพวกมันมีสัญชาตญาณ
เด็กแนวก็มีสัญชาตญาณเหมือนกัน...เหมือนอสุจิ
สัญชาตญาณในการเอาตัวรอด...
หากเปรียบความจำเจของสรรพสิ่งในสังคมเป็นดั่งการตายไปบนพื้นห้องน้ำอย่างไร้หลักฐานเชิงประจักษ์ของอสุจิ ถ้าพวกมันมีความนึกคิด สำเนาพันธุกรรมทรงลูกอ๊อดเหล่านั้นคงไม่อยากพบกับจุดจบเช่นนั้น
เด็กแนวก็เช่นกัน...
พลวัตรของวัฒนธรรมที่ส่งเสริมให้เด็กรุ่นใหม่มีความกล้าคิดกล้าแสดงออกมากขึ้นจนแทบจะก้าวข้ามขอบเขตแห่งความเหมาะสมของวัฒนธรรมดั้งเดิมทำให้เกิดการเสาะแสวงหาสิ่งใหม่ๆเพื่อหลุดพ้นจากความจำเจทางวัฒนธรรมอันเปรียบได้กับการตายอย่างไร้หลักฐานเชิงประจักษ์ดังกล่าว อสุจิวัยรุ่นเริ่มแสวงหาวิถีทางดำเนินชีวิตแบบใหม่ๆ ฟังดนตรีแบบใหม่ๆ อ่านหนังสือแบบใหม่ๆ แต่งตัวแบบใหม่ๆ หรือแม้กระทั่งการหยิบเอาความน่าจะเป็นทางความคิดดั้งเดิมมาปัดฝุ่นให้เป็นแนวความคิดใหม่
แนวคิดของความเป็นอินดี้...อินดี้ซึ่งย่อมาจากอินดีเพ็นเดนซ์อันหมายถึงความเป็นตัวของตัวเอง
และนั่นคือวิวัฒนาการที่เปลี่ยนอสุจิธรรมดาให้กลายเป็นอสุจิแนว...
แต่อสุจิก็คืออสุจิ มันคือสำเนาพันธุกรรมของมนุษย์ เพราะฉะนั้น สิ่งที่มันมีติดตัวและฝังอยู่ในหัวก็คือความเป็นมนุษย์ ความเป็นมนุษย์ในปัจจุบันที่ให้คุณค่ากับสิ่งที่มองเห็นจับต้องได้เหนือยิ่งสิ่งอื่นใด
โดยลืมนึกถึงสิ่งที่มองไม่เห็นอันเป็นแก่นที่แท้จริงของสิ่งที่ทำไป...
เหตุที่พูดถึงเรื่องนี้นั้นก็เพราะหากถามว่าเด็กแนวคืออะไร ส่วนใหญ่แล้วคำตอบที่ได้รับก็จะไม่พ้นคำตอบที่ว่าคือกลุ่มวัยรุ่นที่มีความคิดเป็นของตัวเอง บ้างก็ว่าคือกลุ่มวัยรุ่นที่คิดไม่เหมือนใคร และมีอีกไม่น้อยที่บอกว่าคือกลุ่มวัยรุ่นที่มีความเป็นอินดี้ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร สิ่งที่พวกเขาแสดงออกจนสังคมให้กำจัดความว่านั่นคือความเป็นเด็กแนวจนทำให้เหล่าอสุจิรุ่นหลังยึดเป็นแบบอย่างในการทำตามโดยหวังว่าจะได้ประดับยศความเป็นแนวบ้างก็ไม่พ้นวิถีการใช้ชีวิตและเสพสื่อดังกล่าวมาแล้ว
ทีนี้เลยต้องมาแยกออกเป็นเด็กแนวดั้งเดิมอันหมายถึงรุ่นแรก(บุกเบิก)กับเด็กแนวรุ่นหลังซึ่งกรุ่นกลิ่นการลอกเลียนจนแทบจะกลายเป็นรุ่นดักดาน
ในที่นี้จะขอยกตัวอย่างถึงนิตยสารอะเดย์และแฟ็ทเรดิโอ(ซึ่งตอนนี้เปลี่ยนชื่อเป็นคลิ๊กเรดิโอ)เนื่องจากสื่อทั้งสองนั้นถือได้ว่าเป็นศาสดาสถาปนาของเหล่าเด็กแนวรุ่นหลังๆที่แลดูเป็นตัวตนแห่งความเป็นอินดี้ที่ชัดเจนที่สุดของยุค
เป็นอัตสถาปนาอินดี้ชน...
เด็กแนวรุ่นหลังมองความแปลกใหม่ของนิตยสารและคลื่นวิทยุดังกล่าวเป็นสัญลักษณ์ของความแนวโดยลืมมองถึงสิ่งที่ทั้งสองสิ่งนั้นมุ่งเน้นจะนำเสนอไป
ความคิดสร้างสรรค์...
ความมีความคิดเป็นของตัวเองทำให้เด็ก(ที่ถูกเรียกว่า)แนวดั้งเดิมนั้นเสพแนวความคิดของสื่อทั้งสองในขณะที่เด็ก(ที่เรียกตัวเองว่า)แนวในปัจจุบันเสพแนวความคิด(ที่ถูกชักจูงของ)ตัวเองโดยใช้สื่อทั้งสองเป็นข้ออ้างว่าการเสพสื่อดังกล่าวคือความมีความคิดเป็นของตัวเอง
บ้างก็ทำในสิ่งที่เรียกว่าสวนกระแสโดยไม่ได้มองว่าตัวเองกำลังทำในสิ่งที่เป็นการตามกระแสที่เรียกว่าการสวนกระแส...
สงครามโลกสมัยก่อนวัยรุ่นอยากเป็นยุวชนทหาร
สงครามโลกสมัยนี้วัยรุ่นอยากเป็นเด็กแนว
ไม่ได้มีอย่างไหนดีไปกว่ากัน เพราะในหมู่ผู้ที่ต้องการของทั้งสองยุคก็ต้องมีผู้ที่ต้องการเพราะคิดว่ามันเท่ห์อยู่บ้าง...
ซึ่งนั่นไม่ใช่แก่นแท้เลย...
สังเกตไหมว่าความแนวนั้นจะถูกจำแนกประเภทจากการแต่งตัว?
ซึ่งจะว่าไปแล้วจะแต่งกันไปขนาดไหนก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรเพราะไม่ได้ไปแต่งบนหัวใคร
แต่มันทำให้เห็นได้ชัดว่าสังคมสมัยนี้ให้อะไรกับอนาคตของชาติบ้าง...
ไม่สิ...ผมว่ามันหมดยุคที่จะเรียกเด็กว่าเป็นอนาคตของชาติไปนานแล้ว
อนาคตของเด็กก็คืออนาคตของเด็กต่างหาก...
น่าจะมีการรวมตัวที่ทำให้สามารถจำแนกเด็กแนวออกด้วยความแตกต่างทางความคิดอย่างสร้างสรรค์บ้าง...
เห็นเด็กที่แสดงออกถึงความแนวด้วยการแต่งตัวแบบที่เรียกว่าแนวแล้วก็เดินอวดความแนวในสถานที่แนวแล้วก็ปวดหัวไปตามแนว
สุดท้ายไม่ว่าจะแต่งตัวมากี่แนววัยรุ่นก็ยังมีชีวิตอยู่แนวเดียว
แนวหายใจรอความตายไปวันๆ...
ถ้ามีสมองแต่ไม่รู้จักคิด ชีวิตก็คงไม่มีอะไรนอกเหนือจากการหายใจรอความตายไปวันๆ
จะรอกันนานแค่ไหนก็คงไม่อาจทราบได้...
แต่ถ้าเป็นอสุจิ...สี่สิบวันก็พอ

Comments: Post a Comment



<< Home

This page is powered by Blogger. Isn't yours?