Saturday, October 14, 2006
mp3ในรอยแยกของสถาบันครอบครัว
ลูกทำอย่างนั้นได้อย่างไร??
พวกโจรกระจอก...
ไม่มีคำลงท้ายใดจะมอบให้กับสำเนาพันธุกรรมที่บกพร่อง
พ่อมึง
To be continued...
14 ตุลาคม 49
เรียนต้นฉบับเอกสารพันธุกรรมคุณภาพแย่
เรามีความต้องการเป็นอย่างยิ่งที่จะแจ้งให้ทราบว่า ภายใต้ผลแห่งวิสาสะโดยอ้างสิทธิ์ความเป็นพ่อมาล่วงละเมิดอาณาเขตความเป็นส่วนตัวของเรานั้น ท่านได้หยิบเอาโสตทัศนวัสดุอนาจารของเราติดไม้ติดมือไปด้วยเป็นจำนวนสองชิ้น ซึ่งมิใช่สองชิ้นที่ท่านกล่าวอ้างว่าเป็นหลักฐานยืนยันถึงความเป็นวิปริตกามาชนของเราแต่อย่างใด หากแต่เป็นแผ่นที่ช่วยยืนยันความคิดที่ว่า ตัวท่านนั้นก็เป็นเพียงกามาชนกระแสหลักที่ชื่นชมในความน่ารักคิกขุ ขาวหมวยแบบแซมดำที่หว่างขาประสาสาวซากุระเท่านั้น
เราจึงขอใช้สิทธิ์ความเป็นเจ้าของประกาศให้ทราบว่า กรุณานำมิโนริ อาโออิทั้งสองแผ่นมาคืนก่อนที่เราจะแจ้งเจ้าหน้าที่ครอบครัว (ภริยาของท่าน) ทราบเพื่อจัดการดำเนินคดีกับท่านต่อไป
เราไม่แน่ใจว่าที่ท่านเขียนถึงเรานั้นมันคือจดหมาย...
หรือว่า...แถลงการณ์ของคณะปฏิวัติ
ท่านหลั่งมันรดไว้ในหน่วยความจำของคณิตกรของเรา ในวินาทีที่เปิดมันอ่านนั้น เรารู้สึกเหมือนเวลาชีวิตของตัวเองได้วกย้อนกลับไปในสมัยคราวที่ได้สัมผัสอ่านซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งสารขันธ์ราชอาณาจักรนี้เป็นครั้งแรก สิ่งแรกที่สัมผัสได้อย่างโดดเด่นและชัดเจนกลับไม่ใช่ความใจของสิ่งที่ได้อ่าน หากแต่เป็นความวิปริตวิตถารอนาจารในเชิงทักษะภาษา อันเกิดเนื่องแต่แรงจูงใจเบื้องหลังของผู้เขียนที่ต้องการอวดอ้างกร่างภูมิของตนออกมาในรูปความเข้มข้นซับซ้อนของลักษณะภาษา ส่อแสดงให้เห็นถึงความพยายามใช้ภาษาให้แตกต่างเพื่อแสดงออกซึ่งตำแหน่งฐานะทางชนชั้นและความรู้ที่สูงกว่า เป็นพวกภาษานุรักษ์นิยมที่ชื่นชมกับหอมหวานแห่งความเก่าขมของภาษา โดยถืออ้างเอาความเป็นทางการหรือวิจิตรวรรณศิลป์เป็นมูลเหตุบังหน้า เป็นหนังหุ้มปลายของลำลึงค์แห่งการเหยียดย่ำหยามกดทางชนชั้นด้วยภาษา
ในการนี้ เราจึงขอใช้ภาษาที่มีความกระเดียดกระแดะในระดับเดียวกันในการตอบโต้ เพื่อแสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ท่านพูดด้วยอยู่นี้ หาได้มีความต่ำชั้นใดใดไปกว่าตัวท่านไม่
จากนี้...คือความในใจอันเกิดแต่การที่ได้อ่านในสิ่งซึ่งท่านอ้างว่าคือจดหมาย
หากพูดในฐานะที่ท่านเป็นนายกรัฐมันตรีของบ้าน เรามีความเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่จะบอกว่าท่านคงสอบตก เนื่องมาจากภาษาที่ท่านใช้เพื่อสื่อสารกับคนในบ้านนั้น มีความซับซ้อนเกินกว่าที่ลูกบ้านระดับธรรมดาจะสามารถเข้าถึง การเข้าถึงเข้าใจกันระหว่างพ่อบ้านและลูกบ้านน่าจะเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่อาจมีใครปฏิเสธได้ เพราะนั่นย่อมส่อแสดงถึงความเข้าอกเข้าใจในวิถีของกันและกันเป็นอย่างดีก่อนที่จะออกนโยบายบริหารใดใดมาใช้กับลูกบ้าน หากปราศจากซึ่งความเข้าใจในส่วนนั้นแล้ว สิ่งที่ท่านกำหนดออกมาได้คงเป็นเพียงนโยบายแบบท็อปดาวน์ คือนโยบายที่คนชั้นบนคิดว่าได้ครุ่นคิดมาอย่างดี เป็นความเหมาะความสมในสายตาแบบวิหคนัยนทัศนา แล้วบังคับให้คนชั้นล่างในปกครองใช้โดยไม่เคยได้คำนึงถึงความเหมาะสมแก่วิถีของคนชั้นล่างนั้น
สำหรับแมงกุดจี่...ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่ขี้ควายจะมีโอชาแห่งรสชาติต่ำด้อยน้อยกว่าสเต็ก
มิหนำซ้ำ ทั้งที่ตนเองมีความบกพร่องต่อความรู้ความเข้าใจในวิถีของเรา ท่านยังกล้าคิดอ่านตัดสินว่าเราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งที่มีเพียงเล็กน้อยแห่งสิ่งที่ท่านเชื่อว่าเป็นหลักฐานสนับสนุนความคิดอยากเชื่อของตนปรากฏอยู่ แต่ท่านก็ยังกล้าที่จะด่วนสรุปว่าเราเป็นดังเช่นที่ท่านคิด
เรามิได้กังวลใดใดกับเวลาที่ท่านมีให้เพียงน้อยนิด จะมากมายหรือน้อยนิดย่อมไม่มีผลอะไรหากท่านยังคิดตัดสินเราเอาแต่จากความคิดเข้าใจของตนเอง กลับกัน ด้วยลักษณะมุมมองคิดอ่านของท่าน เรากลับรู้สึกเป็นกังวลในจิตใจหากท่านเกิดดำริหวังตั้งใจจะใช้เวลาร่วมในชีวิตของเรามากขึ้น เพราะนั่นย่อมหมายความว่า ท่านอาจจะพยายามเปลี่ยนแปลงวิถีของเราให้เป็นไปดังเช่นที่ใจของท่านต้องการ กับทั้งความตั้งใจนั้นยังเป็นไปภายใต้นิยามความแห่งหน้าที่ของการเป็นพ่อแล้ว เราคงยิ่งไม่ต้องการจะได้รับสัมผัสซึ่งรสแห่งการกระทำนั้น เพราะเราคิดว่า กับในเรื่องของความสัมพันธ์คนรักหรือพ่อลูกนั้น หากต้องทำอะไรลงไปเพียงเพราะเป็นหน้าที่ โดยไม่ได้เกิดโดยความต้องการกระทำที่แท้จริงแห่งจิตใจแล้ว ท่านก็อย่าได้กระทำมันเสียเลยดีกว่า
เรามิได้เป็นวิปริตกามาชนดังเช่นที่ท่านพิพากษาว่าเราเป็น...
และยังเต็มเปี่ยมด้วยวิจารณญาณที่อยู่นอกเหนือกรอบของสังคมหรือตรรกะธรรมชาติ เรายังคิดรู้ได้ด้วยตนเองว่า วิตถารโสตทัศนอนาจารสองชิ้นที่ท่านอ้างถึงนั้นเป็นเครื่องส่อแสดงถึงวิปริตแห่งจิตใจและวิถีกามปฏิบัติของมนุษย์ เราเสพย์ชมมันเพื่อรับรู้และทำความเข้าใจในเชิงลึกถึงความวิปริตดังกล่าวเท่านั้น อาจไม่ถึงขั้นละม้ายคล้ายซึ่งอสุภกรรมฐาน เพราะเรามิได้กระทำลงเพื่อถึงขั้นปลง แต่เรากระทำลงเพื่อความเข้าใจถึงความบิดเพี้ยนในเพศวิถีของมนุษย์ให้มากขึ้น เพื่อเกิดประโยชน์แก่ทั้งการทำรายงานในวิชาเลือกสาขาจิตวิทยาของเรา และเพื่อตัวเราจะได้มองผู้คนด้วยสายตาที่กว้างขึ้น
แต่เกรงว่ารอยแยกทางความเข้าใจระหว่างเรากับท่านนั้นเป็นเรื่องจริง...
เพราะท่านไม่ได้เข้าใจซึ่งวิถีมุมมองของเราแม้แต่น้อย ท่านเพียงรู้จักซึ่งมุมมองของตนเอง มิหนำกลับคิดว่าความรู้จักเข้าใจนั้นได้เป็นจริงอยู่ในวิถีของเราด้วย ซึ่งถือเป็นความเข้าใจที่ผิดถนัด
กับเรื่องที่ท่านกล่าวโทษเราที่ชื่นนิยมชมชอบในตัวศิลปินที่มีความคิดต่างในเชิงความเชื่อทางศาสนานั้น เราอยากจะกระตุ้นเตือนให้ท่านคิดสักนิกว่า ในขณะที่ท่านกล่าวหาว่าเราเหยียบย่ำในความเชื่อของคนอื่นนั้น ท่านก็กำลังทำการเหยียบย่ำซึ่งความคิดเชื่อของตัวเราไปด้วยในเวลาเดียวกัน เฉกเช่นที่ท่านยึดมั่นในหลักเหตุและผลของตัวเอง ซึ่งนั่นก็ถือเป็นความเชื่ออย่างหนึ่ง ความเชื่อที่ทำให้ท่านกดเหยียดเบียดย่ำการกระทำความเชื่อในเรื่องการขูดขอหวยของหลายๆคนว่าเป็นความงมงายที่แสนไร้สาระ แล้วในคราวนี้ท่านก็ยังมากล่าวหาว่าความไม่เชื่อในพระเจ้าของเรานั้นเป็นการลบหลู่ดูหมิ่นซึ่งคนที่เชื่อในพระเจ้า เราจึงขอบอกไว้เลยว่า แม้เราจะไม่เชื่อในพระเจ้า แต่เราก็ไม่เคยกล่าวโทษความคิดเชื่อในพระเจ้าว่าเป็นความงมงายผิดบาป ซึ่งแม้ว่าความเชื่อเช่นนั้นจะดูไร้สติเป็นอันมากในคนบางหมู่เราก็ไม่คิดว่าเป็นความงมงาย เพราะเรากับคนเหล่านั้นก็เพียงแต่คิดต่างจึงเชื่อต่างก็เท่านั้น และตัวเราหรือตัวท่านเองก็อาจจะกำลังงมงายในสิ่งที่ตัวเองเชื่ออยู่เช่นกัน
แม้เป็นการกระทำหรือความเชื่อที่แลดูไม่มีเหตุผลที่สุด แต่ก็ยังสามารถหลุดจากโอบอ้อมกอดกักของนิยามความงมงายไปได้ หากตัวผู้กระทำรู้ว่าจริงๆแล้วตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ และทำลงไปเพื่ออะไร
เป็นเรื่องน่ายินดี หากท่านเตือนเราด้วยความเป็นห่วงว่าเราจะก้าวล่วงไปเหยียบย่ำซึ่งความศรัทธาของคนอื่น แต่ท่านเองก็ต้องเตือนตัวเองไม่ให้ลืมไปซึ่งสิทธิเสรีภาพในการคิดเชื่ออย่างสงบของเราด้วย
แต่หากเป็นการเตือนเพียงเพราะความคิดเชื่อของเรามันเข้ากันไม่ได้กับรูปแบบที่ท่านต้องการ หรือคิดหวังอยากให้เราเป็น เราก็ขอให้ท่านปิดปากเงียบไปเสียดีกว่า เพราะท่านก็คงเป็นเพียงคนเห็นแก่ตัวที่ทำทุกอย่างเพียงหวังให้เป็นไปในทิศทางที่ท่านเรียกมันว่าถูกควรเท่านั้น
แม้แต่การปฏิวัติรัฐประหารที่ถือว่าเป็นการผิดต่อข้อกำหนดแห่งบทบัญญัติรัฐธรรมนูญยังสามารถกลายเป็นสิ่งที่ถูกต้องได้หากกระทำสำเร็จแล้วสามารถหาเหตุแห่งการกระทำมาทำให้คนยอมรับได้ กระนั้นแล้วท่านก็อย่าได้หวังจะมาปรารถนาหาคาดซึ่งความผิดถูกที่แท้จริงในสังคมโลกนี้เลย
และเราได้บอกแล้วว่ามันเป็นเรื่องของการคิดต่าง...
การคิดต่างนำมาซึ่งการให้ค่าที่แตกต่าง แม้กับเรื่องเอ็มพีสามที่ท่านแลดูทุกข์ร้อนกับมันเป็นหนักหนา ถึงขั้นนิยามความหมายใหม่ว่าเป็นทรัพย์สินที่เป็นภัยคุกคามก็เช่นกัน เท่าที่ได้อ่านความในสิ่งที่ท่านเรียกว่าจดหมาย เราพอจะเห็นได้ว่าท่านกำลังให้ค่ากับงานดนตรีภายในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานที่ท่านมีส่วนร่วมว่ามีค่าสูงส่งสมคู่ควรเหมาะแก่คำว่าทรัพย์สินทางปัญญา แต่สำหรับเราแล้ว เรามิได้เห็นว่ามันมีค่าถึงขั้นนั้นแต่อย่างไร และนั่นเป็นเหตุผลที่ว่า เพราะเหตุใดเราจึงเลือกจะเสพย์ซึ้งซึ่งทรัพย์สินทางปัญญาของอารยชนคนนอกประเทศ
พวกท่านดีแต่อ้างคำว่าทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อสร้างค่าที่คู่ควรแก่การให้คนสนับสนุนสินค้าของพวกท่าน ท่านบอกว่าสินค้าของท่านมิใช่แต่เพียงสินค้า หากแต่มันคือปัญญาที่ได้รับการตีมูลค่าเป็นตัวเงิน เราอยากถามว่าท่านเอาอะไรมามั่นใจว่าปัญญาของพวกท่านมีมูลค่าสูงส่งถึงเพียงนั้น เอาอะไรมาเชื่อมั่นจนทำให้สมัยหนึ่งนั้นพวกท่านกล้าตั้งราคาสินค้าตัวเองถึงแผ่นละสามสี่ร้อย เราอยากถามว่า ในกระแสการรณรงค์ให้เยาวชนและผู้คนทั่วไปหันความสนใจไปเสพย์ซึ้งซึ่งดนตรีแทนที่จะเป็นยาเสพติดนั้น ด้วยราคามูลค่าในระดับดังกล่าวมันง่ายดายต่อการเข้าถึงในระดับมหาชนที่ตรงไหน ท่านหวังให้คนเสพย์สมอมดูดซึ่งงานของท่าน แต่กำแพงราคาที่ท่านสร้างขึ้นมากลับสูงส่งจนยากยิ่งที่คนธรรมดาจะปีนป่ายข้ามไปถึง
ท่านรู้หรือไม่ว่าสำหรับผู้บริโภคอย่างเราแล้ว การซื้อซีดีเพลงสักแผ่นถือว่าเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงมาก กับทั้งการลงทุนนั้นยังไม่ได้เป็นไปตามตรรกะแบบไฮริสก์ไฮรีเทิร์น จะมีสักกี่ครั้งกันที่เราลงทุนกับสินค้าของท่านด้วยจำนวนเงินที่สูงขนาดนั้นแล้วเราจะได้รับผลตอบแทนที่เท่าเทียมกันหรือมากกว่า มิหนำซ้ำ เรายังต้องพบว่าการลงทุนซื้อสินค้าของท่านนั้นกลับเป็นไปตามตรรกะแบบไฮริสก์โลว์รีเทิร์น หรือบางครั้งถึงขั้นลูซรีเทิร์น เราลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงแต่กลับได้รับผลตอบแทนที่ไม่เป็นที่น่าพอใจ หรืออาจถึงขั้นสูญเสียซึ่งผลตอบแทนอันพึงได้จากเงินลงทุนนั้นไปด้วยซ้ำ
สิ่งนั้นส่อแสดงถึงว่าตัวท่านเองก็กำลังเหยียบย่ำซึ่งความไว้ใจที่มีให้กับสมองของท่านเช่นกัน...
ครั้งหนึ่งเราสู้เคยศรัทธาเชื่อถือซึ่งวิลิษมาหราแห่งสติปัญญาของท่านและทีมงาน เรายอมเสียเงินมากมายจ่ายลงให้กับสินค้าของท่าน แต่ท่านกลับตอบแทนเราด้วยผลงานที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนกับว่าเราได้จ่ายเงินลงไปเพื่อซื้อสรรพเสียงของการขับถ่ายของเสียมาบริโภค
เป็นการยากที่เราจะทำใจเชื่อว่าเหล่านักผลิตงานเพลงที่คลุกคลีอยู่ในวงการมายาวนานนับสิบปีจะไม่มีสติรู้คิดได้ ว่างานชิ้นใหม่ๆผลิตออกมาที่นั้นมีความพิถีพิถันในความไพเราะถึงขั้นจะเรียกได้ว่าเป็นเพลงฟังที่ดีหรือยัง แล้วมันหมายความว่าอย่างไรกับการที่หลายๆอัลบั้มที่ผลิตออกมานั้นกลับมีเพลงเพราะเพียงหนึ่งหรือสองเพลงจากสิบถึงสิบสองเพลงที่บรรจุอยู่ หรือบางทีหนึ่งหรือสองเพลงนั้นกลับเป็นเพียงเพลงที่มีความไพเราะอยู่ในระดับที่พอฟังได้ หรือเลวร้ายกว่านั้นคือพอทนฟังได้เท่านั้นเอง
หากไม่มัวหลงติดอยู่กับอัตตาของตัวเองแล้ว เราคิดว่าท่านเองก็น่าจะพอรู้ได้ว่าในขณะที่ธุรกิจค่ายเพลงของท่านกำลังมุ่งมั่นเดินก้าวไปข้างหน้านั้น คุณภาพของเพลงที่ท่านผลิตกลับย่ำอยู่กับที่หรือถึงขั้นกำลังถดถอย จนแม้กระทั่งในวันนี้ที่ราคาของท่านถดถอยลงมาเหลือเพียงไม่เกินร้อยห้าสิบแล้วเราเองก็ยังไม่อาจจะทำใจลงทุนไปกับสิ่งที่ท่านเรียกว่าเป็นปัญญาได้
แล้วในเมื่อกับเงินปัจจุบันอันไม่เกินร้อยห้าสิบที่เราจ่ายลงไปนั้น ยังคงสุ่มเสี่ยงเป็นอย่างยิ่งต่อการที่เราจะได้เพลงฟังที่ดีเพียงหนึ่งหรือสองเพลงมาครอบครอง เราจึงอยากถามว่ามันคุ้มค่าหรือไม่ หากเราจะผันเงินจำนวนนั้นไปซื้อสินค้าที่ท่านเรียกมันว่าสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ เพื่อที่เราจะได้ทำการลงทุนไปตามตรรกะแหกคอกแบบโลว์ริสก์ไฮรีเทิร์น เราลงทุนเพียงนิดเดียวแต่กลับได้เพลงไพเราะมากมายจากหลากค่ายหลายศิลปินมาไว้ในครอบครอง
เมื่อท่านไม่เปิดทางเลือกให้เรา...เราย่อมต้องหาทางออกให้กับทางเลือกของตนเอง
พูดถึงทางเลือก เราอยากบอกว่าการที่เราเลือกเสพย์ซึ่งงานลิขสิทธิ์ของศิลปินต่างชาตินั้นก็เพราะนั่นเป็นตัวเลือกที่แตกต่างที่เราสามารถเลือกรับได้ เป็นความแตกต่างทั้งทางดนตรี แนวคิด เนื้อหาอันเกิดแต่ความแตกต่างในคำเพลง ในขณะที่งานดนตรีส่วนใหญ่ในประเทศนี้ย่ำอยู่กับที่ด้วยเนื้อคำอันมีความถึงรอยรักที่หักร้าวของสาวหนุ่ม เพลงจากต่างชาติกลับมีเนื้อความที่ส่อแสดงลักษณะความเป็นไปในสังคม หรือลงลึกถึงขั้นใช้เนื้อหานั้นแสดงออกถึงความคิดเชื่อที่แตกต่างของตน และยังมีอีกมากมายที่ความในเนื้อเพลงนั้นส่อแสดงถึงความคิดจิตใจของผู้คนที่มีอะไรมากมายไปกว่าการยึดย่ำอยู่ในคำรัก ซึ่งบางครั้งการศึกษาเนื้อเพลงเหล่านั้นกลับให้ค่าเป็นความรู้ได้ดีกว่าการนั่งย่ำย้ำอ่านผ่านคำในตำราเรียนเสียอีก
มีหลายอารยชนคนเสพย์ดนตรีที่ให้เหตุผลถึงความน่าเบื่อจากการย่ำซ้ำในเนื้อหาของเพลงในประเทศนี้ว่าเป็นผลมาจากความคับแคบของตลาด คือแนวเพลงที่คนยอมรับและอยากฟังยังมีความต่ำชั้นของความหลากหลายอยู่ ซึ่งเหตุผลดังกล่าวนั้นคงเอาใจตัวท่านได้เป็นอย่างดี แต่สำหรับเราแล้ว หากท่านคิดจะอ้างอย่างนั้นแล้วก็คงไม่ต่างอะไรไปจากการโยนความผิดไปให้เหล่าผู้ฟังที่ซื่อสัตย์ เราอยากถามว่า ในเมื่อตัวพวกท่านเองเป็นผู้ผลิตงานเพลงแล้วก็ย่อมมีอำนาจในการผลิตชิ้นงานให้มีความหลากหลายเพื่อนำมาซึ่งการเปิดขยายความกว้างของตลาด ซึ่งเราเชื่อว่าด้วยทักษะและประสบการณ์ของท่านแล้วคงกระทำเรื่องดังกล่าวได้ไม่ยากนัก และสิ่งนั้นคงเป็นจริงขึ้นมาได้หากท่านไม่เพียงแต่ยึดติดอยู่กับผลประโยชน์ซึ่งอยู่ในรูปของตัวเงิน ว่าต้องผลิตเฉพาะแต่เพลงแบบนี้แนวนี้แล้วจึงจะขายได้ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ตลาดเพลงในทุกวันนี้กำลังเปิดกว้าง มีคนมากมายที่แสวงหาและพร้อมรับซึ่งแนวเพลงใหม่ๆที่มีรูปแบบเนื้อหาใหม่ๆ ซึ่งหากพวกท่านพร้อมใจกันผลิตออกมาแล้ว เราเชื่อว่าไม่น่าจะเป็นการยากในการที่จะสามารถขายสินค้าเหล่านั้นออกได้
แต่หากท่านยังคงยืนยันจะผลิตเพลงซึ่งมีเนื้อหาส่วนใหญ่เป็นไปในแนวช้ำรักดังเช่นทุกวันนี้ เราก็พูดได้เหมือนที่ท่านพูดว่าศิลปินที่เรานิยมนั้นหากินโดยการเหยียบย่ำศรัทธาความเชื่อของผู้อื่น ว่าตัวท่านเองก็กำลังหากินอยู่กับอารมณ์โศกเศร้ามัวเมารักของผู้คนเช่นกัน
และผลประโยชน์ในรูปตัวเงินนั่นเองที่เป็นคำตอบที่แท้จริงที่ว่าเหตุใดท่านจึงต้องต่อสู้เพื่อสิทธิ์แห่งสินค้าของท่านอยู่ในทุกวันนี้ ท่านใช้คำสวยหรูอย่างทรัพย์สินทางปัญญาทั้งที่จริงๆแล้วไม่ได้สนใจมันมากไปกว่าเรื่องค่าของเม็ดเงินที่จะได้รับจากการขาย ผลกำไรที่ลดลงจากการที่เงินส่วนที่ท่านคิดว่าตัวเองควรจะได้รับได้ไหลลงสู่ธุรกิจใต้ดินทำให้ระดับผู้บริหารอย่างท่านร้อนรนจนทนไม่ได้ และต้องหาทางแก้ไขโดยการยัดเยียดความเป็นโจรประเภทต่างๆให้กับใครก็ตามที่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจใต้ดินนั้น
ท่านอาจจะคิดแย้งว่า แต่งานที่พวกท่านผลิตออกมานั้นก็ถูกส่งออกมาด้วยความตั้งใจ ด้วยหยาดเหงื่อแรงกายและความพยายาม เราเองอยากจะเตือนให้ท่านทราบว่า ในรูปแบบของการทำงานหนักนั้นนั้นมันมีแบบหนักอย่างคนและหนักอย่างควาย เมื่อวัดเอาจากภาพรวมชิ้นงานที่ท่านผลิตออกมาในทุกวันนี้นั้น หากจะอ้างถึงเรื่องการลงแรงทำงานหนักจึงควรได้รับซึ่งผลตอบแทน เราคิดว่าท่านกำลังทำงานหนักในแบบหลัง เมื่อท่านทำได้เพียงส่งกลิ่นสาปเหงื่อและคราบไคลออกมาในเพลงที่ตนผลิตแล้ว ผลตอบแทนที่ท่านได้รับจากเราก็ควรเป็นเพียงหญ้าสดหรือฟางแห้งเท่านั้น
กับสิ่งที่เรียกว่าดนตรีนั้น เพียงท่านทำงานหนักแล้วสร้างผลงานออกมาคงยังไม่อาจถือเรียกได้ว่าเป็นชิ้นงานที่สมบูรณ์ เพราะความสมบูรณ์ของดนตรีนั้นย่อมไม่หยุดอยู่เพียงแค่ความพึงพอใจของผู้สร้าง แต่ต้องได้รับการเสริมความสมบูรณ์ด้วยความพึงพอใจของผู้รับเป็นหลักใหญ่ด้วย
กับรูปแบบการผลิตผลงานเพลงของท่านในตอนนี้ เรามองว่าพวกท่านยังคงคับแคบทางจิตใจและสายตาด้วยยังมุ่งหวังผลิตเพียงดนตรีกระแสหลักที่ปักรากอยู่กับสังคมนี้มาช้านาน และยังยึดมั่นอย่างเหนียวแน่นอยู่กับผลประโยชน์จนไม่คิดสร้างสรรค์หรือสนับสนุนดนตรีแบบอื่นๆที่เป็นกระแสรองเพื่อให้เป็นตัวเลือก เป็นการผูกขาดทางรสนิยมการเสพย์ ท่านไม่คิดสร้างตัวเลือกให้ผู้คนทั้งๆที่มีโอกาส อย่างเมื่อไม่นานมานี้ที่เป็นช่วงกระแสความแนวครองเมือง ท่านสามารถใช้ช่วงเวลานั้นสร้างผลงานทางเลือก โดยใช้ประโยชน์จากการแสวงหาความแนวของวัยรุ่นเพื่อเปิดตลาดทางเลือก แต่ท่านก็ยังปล่อยโอกาสดีนั้นให้หลุดลอยไป
ส่วนคุณูปการของเอ็มพีสามที่เห็นได้ชัดเจนประการหนึ่ง เรามองว่ามันเป็นสินค้าที่ช่วยขยายโอกาสให้ผู้คนในทุกระดับรายได้ได้สามารถเข้าถึงสื่อดนตรี และเป็นโอกาสที่มีช่องทางหลากหลายด้วยราคาที่ต่ำกว่าแต่มีชิ้นงานให้เลือกเสพย์ได้มากกว่า ถือเป็นการลดความเสี่ยงในการลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่มีความแน่นอนในคุณภาพได้อย่างดีทีเดียว
นอกจากนี้ เอ็มพีสามยังช่วยลดการผูกขาดความหลากหลายในการรับฟัง หากเราเลือกใช้สินค้าลิขสิทธิ์ของท่าน เราจะไม่สามารถฟังเพลงจากหลากหลายที่มาไปในเวลาเดียวกันได้ เพราะหากอยากฟังเพลงอื่นของคนอื่นหรือค่ายอื่นแล้วเราก็คงต้องวุ่นวายกับการเปลี่ยนแผ่น ท่านอาจจะเถียงว่าเทคโนโลยีที่บรรจุไว้ในคณิตกรสามารขจัดปัญหาความยุ่งยากดังกล่าวไปได้อย่างง่ายดาย แต่เราก็ขอถามกลับว่า แล้วกับในกรณีประชาชนคนที่ไม่มีกำลังซื้อคณิตกรมาใช้เล่า หากเขามีความสามารถซื้อได้เพียงเครื่องเล่นเอ็มพีสามราคาถูกเท่านั้นเล่า เขาจะไม่มีสิทธิ์ได้ฟังเพลงอันหลากหลายโดยการเดินเครื่องเล่นเพียงครั้งเดียวหรือ ไยคนเหล่านั้นจะต้องสูญเสียสุนทรียภาพทางดนตรีที่มีไว้ประกอบการทำงานอย่างอื่นไปด้วยแรงสะดุดจากการหยุดเปลี่ยนแผ่นด้วยเล่า ท่านจะไม่ให้สิทธิ์กับคนเหล่านั้นบ้างเลยหรือ
ไยต้องผูกขาดโอกาสในการรับฟังกันด้วย...
และกับเรื่องที่ท่านคิดแกมขู่ว่าจะทำการผลักดันให้เกิดกฎหมายที่รุนแรงเพื่อลงโทษธุรกิจการซื้อขายเอ็มพีสามอย่างดุดัน เราขอเตือนไว้ก่อนเลยว่ามันเป็นทางออกที่ไร้ประสิทธิภาพ เราคิดว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาคงไม่ใช่การสร่างซาของตลาดเอ็มพีสาม แต่น่าจะเป็นยอดส่วยที่เพิ่มขึ้น เป็นรายได้นอกระบบของเจ้าหน้าที่รัฐมือสกปรกบางคนที่จะเพิ่มขึ้น เพราะกฎหมายที่รุนแรงย่อมเป็นลู่ทางในการหาเงินของเจ้าหน้าที่บางส่วน โดยมอบการหลุดรอดจากการลงโทษของกฎหมายให้ผู้กระทำผิดเป็นการแลกเปลี่ยน
ดังนั้น หากใช้วิธีที่ท่านว่า เราว่าคงเป็นราคาของเอ็มพีสามที่จะต้องเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีต้นทุนค่าส่วยเพิ่มรวมมาในการผลิตด้วย แต่เชื่อเราเถิดว่า มันจะไม่ทำให้ยอดขายเอ็มพีสามลดลงมากมายสักเท่าไรนัก และไม่ได้ทำให้ยอดขายสินค้าลิขสิทธิ์ของท่านเพิ่มสูงขึ้นอย่างแน่นอน กลับทั้งการกระทำดังกล่าวอาจทำให้ผู้บริโภครู้สึกเป็นปฏิปักษ์ต่อท่าน ซึ่งนั่นย่อมไม่ส่งผลดีกับธุรกิจของท่านเองด้วย
ในส่วนเรื่องของเงินภาษีที่ท่านยกมาอ้างนั้น เราขอถามกลับง่ายๆว่า ท่านกล้าพูดเรื่องเราบกพร่องในการชำระเงินภาษีได้อย่างไร ในเมื่อต้นสังกัดของท่านเองก็มีการก่อตั้งบริษัทลูกขึ้นมามากมายหลายแห่งเพื่อทำการหลีกเลี่ยงจำนวนภาษีจริงที่ต้องจ่ายอยู่อย่างชัดแจ้ง
มาถึงตอนนี้แล้ว เราก็ไม่แน่ใจว่า หากเปรียบเทียบการที่ท่านเล่าความเป็นไปของเราให้เพื่อนท่านฟังกับการที่เราเล่าความเป็นไปของท่านให้เพื่อนเราฟัง อย่างไหนจึงจะเป็นเรื่องที่น่าอับอายกว่ากัน
ต่างคนต่างอยู่ดีกว่า
ผม
ปล. สำหรับเราแล้วเอ็มพีสามไม่ได้เป็นตัวย่อของคำอันมีความว่าทรัพย์สินที่เป็นภัยคุกคาม หากแต่มันคือมายเพรฟเฟอร์เรนซ์ (My Preference) หรือก็คือความนิยมแห่งใจของข้าพเจ้า เป็นแสงสะท้อนจากการให้ค่าต่อคุณภาพงานเพลงที่มีเกร่ออยู่ในประเทศ ว่าควรแล้วที่จะได้รับการตอบแทนในรูปแบบนั้น และหากท่านสังเกตให้ดีๆ ในห้องของเราก็มีแผ่นลิขสิทธิ์ของเพลงในประเทศอยู่ แม้มันจะไม่ใช่แผ่นงานของท่าน แต่มันก็เป็นงานที่เรายกย่องว่าควรค่าแก่การได้รับการตอบแทนจากเราไป
To be continued...
15 ตุลาคม 49
ถึงสามีและลูกชายอันเป็นที่รัก
ได้อ่านชมในสิ่งที่สองพ่อลูกคุยกันผ่านจดหมายที่พิมพ์ทิ้งไว้ในคอมพิวเตอร์แล้วก็ให้รู้สึกเอ็นดูในความพยายามใช้คำพูดจาของชายสองคนอันเป็นสุดที่รักที่ยังเหลืออยู่ของแม่ และตัวแม่เองก็อยากแสดงทรรศนะแบบแม่ๆของตนออกมาบ้าง
บางส่วนคงต้องเรียกว่าเป็นคำสารภาพก็คงได้...
ในฐานะที่ตัวเองเป็นคนผลิตแผ่นเอ็มพีสามหรือซีดีเถื่อนตามนิยามความหมายของพ่อขาย แม่อยากจะบอกเธอทั้งสองคนว่า สิ่งที่พวกเธอควรตั้งคำถามใส่กันในเวลานี้นั้นไม่น่าจะใช่ในเรื่องคุณภาพของชิ้นงาน แต่พวกเธอควรจะถามว่า เหตุใดสิ่งผิดกฎหมายอย่างเอ็มพีสามจึงสามารถปรากฏเกร่อ และอยู่ยั้งยืนยงเคียงคู่ธงแห่งสารขันธ์ราชอาณาจักรของเราได้อย่างยิ่งใหญ่และหยามเย้ยถึงเพียงนี้
คำตอบคือเพราะมันเป็นสินค้าที่จับใจคน...
แต่หากจะพูดกันจริงๆแล้วคงไม่ใช่เพียงใจ หากแต่เป็นสันดาน เอ็มพีสามเป็นสินค้าที่จับตรงลงไปถึงแก่นในแห่งสันดานของคนในสารขันธ์ราชอาณาจักรนี้ สันดานเอื่อยเฉื่อยรักสบายที่ทำให้คนในสารขันธ์ราชอาณาจักรมุ่งหวังจะได้สิ่งดีในปริมาณมากจากการลงทุนน้อยนิด หรือหากไม่ต้องลงทุนเลยได้ก็จะยิ่งเป็นการดี
แม่อยากจะบอกพวกเธอว่า หากลองเปรียบเทียบเป็นสัดส่วนดูแล้ว แม่ว่าสัดส่วนของเพลงดีที่ได้รับต่อจำนวนเพลงทั้งหมดในหนึ่งแผ่นที่ได้จากการซื้อแผ่นเอ็มพีสามหรือจากแผ่นลิขสิทธิ์นั้นคงไม่แตกต่างกันสักเท่าไรนัก หากแต่การที่เอ็มพีสามเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมมากกว่านั้นก็เป็นเพราะว่า ผู้ซื้อรู้สึกว่าการลงทุนในเอ็มพีสามนั้นทำให้ตัวเองได้รับเพลงรวมเป็นจำนวนที่มากกว่า โดยมีต้นทุนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับการซื้อสินค้าลิขสิทธิ์
แต่ก็ต้องมองด้วยว่า ส่วนหนึ่งนั้นคงเป็นเพราะตัวผู้บริโภคนั้นต้องอยู่ในสภาวะจำทนกับการที่ต้องเสพย์เพลงดีเพียงไม่กี่เพลงแต่ต้องจ่ายเงินในราคาอัลบั้มมาเป็นเวลานาน ดังนั้น เมื่อมีทางหลุดพ้นจากสภาวะน่าอึดอัดดังกล่าว จึงไม่น่าแปลกใจที่คนส่วนใหญ่จะหันเหไปหาทางออกนั้น
กับเหตุผลเรื่องคุณภาพเพลงที่ลูกหยิบยกมาอ้างนั้น แม่ว่าอย่าได้ไปพูดถึงให้ตัวเองดูดีเลยจะดีกว่า หนึ่งนั้นก็เพราะด้วยเหตุผลในเรื่องสัดส่วนเพลงดีที่ได้รับดังที่แม่บอกไปแล้ว และสองก็คือเพราะถึงแม้จะมีคนที่คิดเหมือนลูกอยู่จริง แต่มันก็คงเป็นจำนวนที่น้อยนิดเสียจนไม่น่าจะนำมาอ้างเป็นเหตุผลได้
ส่วนเรื่องทรัพย์สินทางปัญญานั้น แม่อยากให้พ่อยืดอกยอมรับอย่างผ่าเผย ว่าแท้จริงแล้วตัวเองกำลังต่อสู้เพื่อผลกำไรของบริษัทอยู่ อย่าได้ไปสรรค์เหตุอ้างผลอื่นอันใดมาพูดให้แม่ต้องรู้สึกสมเพชในตัวผู้ชายที่เลือกแม่ และแม่เลือกเลย
เพราะแม่อยากเห็นความจริงใจ...เหมือนตอนที่พ่อบอกความในใจกับแม่
เหมือนแม่กำลังยืนอยู่บนทางสองแพร่ง คงเป็นความจริงที่ว่าแม้เราจะอยู่ในโลกสีเทาแต่เมื่อถึงที่สุดแล้วเราก็ต้องเลือกว่าเราจะเข้าข้างขาวหรือข้างดำ แม่กำลังตกที่นั่งลำบากเพราะส่วนหนึ่งนั้นตัวเองก็เห็นใจกับการที่ผู้ซื้อต้องแบกรับความเสี่ยงจากการซื้อสินค้าลิขสิทธิ์อย่างที่ลูกกล่าวอ้าง เพราะแม่เองก็เป็นคนหนึ่งที่เคยต้องเจ็บช้ำกับความไว้ใจที่มีให้สินค้าลิขสิทธิ์มาแล้วเหมือนกัน
แต่ในขณะเดียวกัน แม่เองก็ต้องช้ำใจเพราะค่ายเพลงค่ายหนึ่งที่แม่รักและคอยติดตามผลงานมาตลอดสิบปีก็กลับต้องปิดตัวลงไปในสมัยที่เศรษฐกิจเอ็มพีสามกำลังเฟื่องฟูเช่นกัน
และแม่ยิ่งลำบากใจ ที่เมื่อมองไปทางไหนก็ไม่อาจพบเห็นหนทางใดที่จะทำให้ซีดีเถื่อนกับสินค้าลิขสิทธิ์สามารถดำรงตนอยู่รวมกันได้อย่างสันติ
และแม่ยิ่งปฏิเสธไม่ได้ ว่าเมื่อมองลึกลงไปในจิตใจแล้ว แม่กลับเห็นว่าเอ็มพีสามที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายหรือซีดีเถื่อนนั้นกลับมีคุณูปการอยู่หลายข้อ จนยากยิ่งที่เพียงข้ออ้างเรื่องความถูกต้องตามกฎหมายและผลประโยชน์ของค่ายเพลงจะสามารถกลบบังข้อดีเหล่านั้นได้มิด
แต่หากไม่มีผลประโยชน์ที่ว่านั่น แม่ก็เกรงว่าวันหนึ่งราชอาณาจักรของเราอาจจะต้องกลายเป็นดินแดนที่ไร้แล้วซึ่งดนตรีฟังไปโดยปริยาย
ดังนั้น แม่คงไม่พูดถึงการแก้ปัญหา แต่คงพยายามพูดถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นให้รอบด้านที่สุด แล้วให้ลูกกับพ่อไปคิดชั่งน้ำหนักกันเอาเอง
อันว่าด้วยคุณูปการแห่งเอ็มพีสามนั้น คร่าวๆก็อย่างที่ลูกกล่าวไปแล้ว มันนำพาผู้คนให้ได้หลุดพ้นจากทุกขสภาวะอันเกิดจากความสุ่มเสี่ยงเรื่องคุณภาพเพลงของสินค้าลิขสิทธิ์ อีกทั้งยังช่วยขยายช่องทางในการเข้าถึงผลงานของศิลปินให้กับประชาชนที่มีรายได้น้อย ซึ่งก็ถือว่ามีสิทธิ์จะเสพย์ซึ้งซึ่งศาสตร์ศิลป์แห่งสุนทรียรสของดนตรีเช่นกัน
และยังได้ช่วยประจานค่ายเพลงใหญ่ด้วย ว่าไม่ได้เห็นความสำคัญในผลประโยชน์ของคนฟังมากไปกว่าผลประโยชน์ของตัวเอง มิหนำซ้ำยังคิดว่าผลงานที่ตนผลิตนั้นล้วนแล้วแต่เป็นผลเลิศที่เหมาะสมกับคำว่าทรัพย์สินทางปัญญาเสมอมาอีกด้วย
นอกจากนี้ แม่คิดว่าเอ็มพีสามยังช่วยกระจายรายได้สู่คนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าเป็นผู้ขาดซึ่งทรัพยากรบางอย่างที่ควรจะได้รับตามสิทธิสภาพแห่งความเป็นมนุษย์ อีกทั้งยังอาจเป็นรายได้เสริมให้กับนักศึกษาที่คิดหางานทำไปพร้อมกับเรียน แม้ข้อหลังนี้แม่จะไม่ค่อยเห็นด้วยเพราะรู้สึกว่านักศึกษาหรือเยาวชนควรจะหางานที่ทำยากทำลำบากกว่านี้ เพื่อจะได้เข้าใจในความลำบากของชีวิตและการหาเงินใช้ได้อย่างถ่องแท้มากขึ้น
พ่ออาจจะคันปากอยากค้านแย้งแหย่แยงในความคิดเรื่องการกระจายรายได้ที่แม่ว่า ซึ่งพ่อก็คงพูดถึงว่าจะให้ทำใจยอมรับการกระจายรายได้แบบนั้นได้อย่างไร ในเมื่อเป็นรายได้จากสินค้าผิดกฎหมาย กับทั้งยังเป็นรายได้ที่ไม่ต้องเสียทั้งภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่แม่ก็อยากจะบอกกับพ่อว่า จะอ้างเหตุผลแบบนั้นไปเพื่ออะไร ในเมื่อเราเองก็ไม่เคยไว้ใจได้ว่า เงินภาษีเหล่านั้นได้คืนกลับมาหาเราอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย มิหนำซ้ำบางครั้งยังกลับกลายเป็นว่าเราได้จ่ายภาษีไปจ้างโจรการเมืองมาปล้นสิทธิอันพึงมีพึงได้ของเราไปจากตัวเอง สู้เราหาและใช้เงินที่ถูกคาดหวังว่าควรจะเป็นภาษีนั้นไปในทางที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์แก่ตัวเราอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยไม่ดีกว่าหรือ
แม้จะไม่เห็นด้วยในเรื่องการใช้กฎหมายที่มีบทลงโทษรุนแรง เพราะแม่เชื่อเหมือนลูกว่ามันจะไม่ได้แก้ปัญหาอะไร หากแต่กลับยิ่งไปเพิ่มปัญหาในส่วนอื่น แต่แม่ก็เชื่อว่าหากบทลงโทษที่รุนแรงนั้นมาพร้อมกับการกวดขันอย่างจริงจังและซื่อสัตย์ของเจ้าหน้าที่ บางทีมันอาจจะเป็นทางออกที่ดีก็เป็นได้ ดังจะเห็นได้จากในช่วงแรกของการรณรงค์อย่างหนัก เพื่อนแม่หลายๆร้านถึงกับต้องปิดตัวไป แต่แม่อยู่รอดมาได้เพราะเปลี่ยนแปลงรูปแบบการขาย โดยอาศัยความไว้ใจจากลูกค้าขาประจำ ว่าให้ทำการชำระเงินก่อนแล้วจะส่งสินค้าไปให้ภายในสามวัน ซึ่งแม่เองให้ความซื่อสัตย์กับการกระทำตรงนั้น ลูกค้าเองจึงศรัทธาในตัวแม่และบอกต่อ จึงทำให้ธุรกิจของแม่ยังเดินทางต่อมาได้
บางทีแม่อาจจะกำลังสบประมาทผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ แต่แม่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าแม้แต่ในครั้งที่ตนยังไม่ได้ทำงานผิดกฎหมายแบบนี้ แม่ก็ยังรู้สึกระแวงที่จะต้องพบเจอกับตำรวจมากไปเสียกว่าคนใครใดใดก็ตามที่มีท่าทางไม่น่าไว้วางใจ มันส่อแสดงถึงความไม่มั่นใจและไม่ไว้วางใจในตัวเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ว่าเขากำลังทำในสิ่งที่ถูกควรตามกรอบแห่งหน้าที่ของตนหรือเปล่า
แต่แม่เชื่อว่า ถ้าตำรวจมีรายได้ตามกฎหมายที่มากพอแล้ว พวกเขาอาจไม่ต้องมาหารายได้จากลู่ทางอื่นที่ขัดต่อจรรยาบรรณในวิชาชีพของตัวเองก็เป็นได้ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ต้องคิดกันต่อไป ว่าจะเป็นความจริงหรือไม่ แล้วถ้าเป็นความจริงได้ตามนั้น รัฐจะไปหาเงินที่ไหนมาอุดหนุนเพิ่มเติมรายจ่ายในส่วนนี้ เพราะตำรวจทั่วประเทศมีมากมาย การเพิ่มรายได้ให้กับทุกคนนั้นคงเป็นเงินรัฐที่มีจำนวนมหาศาลอยู่
หรือไม่พ่อก็ใช้ประโยชน์จากความต้องการหารายได้นั้น พ่อคงต้องสร้างแรงจูงใจให้กับเจ้าหน้าที่ด้วยการตั้งรางวัลนำจับแหล่งขายซีดีเถื่อน ซึ่งพ่อก็ต้องให้เยอะในระดับที่ทางผู้ขายรู้สึกว่าไม่คุ้มหากตัวเองจะคิดติดสินบนคืนเพื่อเอาตัวรอด และต้องเยอะจนเกิดเป็นแรงกวดขันในระดับที่ทำให้คนขายไม่รู้สึกคุ้มที่จะขายต่อไป แต่ในส่วนนี้ ถ้าพ่อติดต่อขอความร่วมมือจากค่ายเพลงทุกค่ายแล้วก็คงทำได้ไม่ยากนัก
แต่ตัวพ่อและเพื่อนร่วมวงการเองก็ต้องให้ความเคารพในรสนิยมของคนฟังด้วย พ่อจะทำงานกันอย่างที่ผ่านๆมาไม่ได้ แม่เชื่อในความคิดที่ว่าในจำนวนเพลงที่ผลิตออกมาในหนึ่งชุดอัลบั้มนั้น จะให้เพราะหมดทุกเพลงก็คงเป็นไปไม่ได้ แต่เราน่าจะสามารถกลบฝังความบกพร่องนั้นได้ด้วยระยะเวลาการผลิตที่ยาวนานขึ้นมิใช่หรือ เพราะหากซีดีเถื่อนหมดไปแต่คุณภาพการผลิตเพลงยังเป็นดังเช่นที่เคยเป็นและเป็นอยู่ แม่ว่าในวันหนึ่งที่ไม่ไกลเกินจินตนาการ เอ็มพีสามก็คงจะกลับมาผงาดในตลาดอีกครั้ง
ลำพังตัวเองคิดคนเดียวแม่ก็คงจะพูดอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ แม่อยากให้เย็นนี้เรามานั่งกินข้าวด้วยกันสักครั้ง เผื่อว่าจะได้ช่วยหาทางออกกันอย่างจริงจัง และได้แลกเปลี่ยนความเป็นไปในชีวิตของแต่ละคน ที่แม้อยู่บ้านเดียวกันแต่กลับเหมือนอยู่ไกลกันคนละซีกโลก
รักและห่วงใยผู้ชายทั้งสองคนนี้เสมอ
แม่
To be continued...
16 ตุลาคม 49
..................................
แม่ส่งอีเมล์ฉบับนี้และเนื้อความในแบบเดียวกันเป็นเอสเอ็มเอสไปบอกพ่อกับลูกว่า ถ้าวันนี้พวกมึงยังปฏิเสธคำเชิญมาแดกข้าวเย็นร่วมกันของกูอีก ก็ให้หันไปมองเงาหัวที่เริ่มซีดจางลงเรื่อยๆของตัวเองแล้วคิดให้ดีก่อนที่มันจะหายไปตลอดกาล
กูเริ่มจะเกลียดพวกมึงขึ้นมาตะหงิดๆแล้ว
แม่มึง
To be continued...
♪...จะพูดอีก...จะพูดอีก...จะบอกว่าน้านา... ♪
“ฮัลโหล”
“พ่อได้เมสเสจแม่รึเปล่า?”
“ได้”
“แล้วจะเอาไง?”
“กูอยู่บ้านแล้ว มึงล่ะอยู่ไหน?”
“...................................”
(No need) to be continued…
Saturday, October 07, 2006
BMTA - Bangkokian’s Menace Transportation Adventure -ภาคการแก้ไข-
หากจะหวังเพียงให้ภาครัฐเห็นปัญหาแล้วทำการแก้ไข แบบนั้นก็คงไม่ต่างอะไรกับการนั่งรอใครสักคนมาทำการรัฐประหาร BMTA เพื่อฉีก “บัสธรรมนูญ” (อ่านว่า บั๊ด-สะ-ทำ-มะ-นูน) ฉบับเดิมทิ้ง เป็นการนั่งรอเมสไซอาห์ตามรูปวิถีการแก้ไขปัญหาแบบเดิมๆ
ดังนั้น ในภาคนี้ ผมจึงขอแยกการแก้ปัญหาออกเป็นหน้าที่ของสองฝ่าย คือทั้งภาครัฐและประชาชน
-ภาครัฐ-
สัญญาเป็นสิ่งสำคัญ...
สัญญาที่ว่านั้นต้องมีทั้งสัญญาที่เป็นลายลักษณ์อักษร (Contract) และสัญญาใจที่ยิ่งใหญ่กว่าเพียงลมปาก (Promise)
ดังชื่อที่ว่า “ขนส่งมวลชน” นั้นก็เพียงพอจะบอกให้รู้แล้วว่า บริการขนส่งที่จะจัดทำขึ้นนี้ มีไว้เพื่อทำการขนส่งมวลชน หรือก็คือประชาชนที่อยู่ภายใต้ความคุ้มครองบริหารของรัฐ ดังนั้น รัฐต้องมีการออกแบบสัญญาลายลักษณ์อักษรที่ดี โดยจะต้องมีรากฐานมาจากการเล็งเห็นและพิจารณาอย่างถ้วนถี่แล้วว่า สัญญาที่ออกแบบมานั้น จะต้องสามารถควบคุมกำกับการควบคุมดูแลบริการของผู้รับสัมปทานบริการ ให้เกิดมีซึ่งความเคารพในสิทธิเสรีภาพในชีวิตจิตใจและร่างกายของมวลชน หรือประชาชนที่ใช้บริการดังได้รับความคุ้มครองไว้ในรัฐธรรมนูญ และเมื่อหนึ่งเมื่อใดเมื่อคู่สัญญา (ผู้รับสัมปทาน) มิได้ปฏิบัติไปตามความในเนื้อหาสัญญานั้น รัฐมีสิทธิ์บอกเลิกสัญญาได้ทันที
ออกแบบดีที่ว่านั้นก็คือ ตัวสัญญาจะต้องมีความรัดกุม ไม่ปล่อยให้เกิดช่องโหว่ทางกฎหมายใดใดอันจะสามารถทำให้ฝ่ายผู้รับสัมปทานสามารถอาศัยช่องโหว่นั้นมาหาประโยชน์ให้ตัวเองได้ ซึ่งในกรณีนี้นั้นการทำสัญญาแบบปีต่อปีหรือไม่เกินสามปีน่าจะเหมาะสมที่สุด เพราะมีช่วงเวลาถือครองสัมปทานที่สั้น กับทั้งยังทำให้ไม่เกิดการผูกขาด เปิดโอกาสให้ผู้สนใจเจ้าอื่นได้เสนอความจำนงเข้ามา ทำให้เกิดการแข่งขันกันของฝ่ายที่ต้องการจะได้รับสัมปทาน ซึ่งตรงนี้นั้นจะทำให้ประชาชนได้ประโยชน์ ทั้งในแง่ลักษณะการบริการที่ดี และ/หรืออาจจะมีค่าบริการที่ต่ำลง นอกจากนี้ ความต้องการให้ตัวเองได้รับสัมปทานต่อหลังจากหมดสัญญาจะช่วยเป็นตัวบีบ เป็นแรงจูงใจให้ฝ่ายผู้รับสัมปทานมุ่งปฏิบัติตามความในสัญญาได้ อีกทั้งรัฐยังสามารถตรวจสอบพฤติบริการของคู่สัญญาได้อย่างละเอียดว่าเป็นไปตามที่ระบุไว้ในสัญญาหรือไม่ และไม่เกิดความหย่อนยานในการตรวจสอบอันเนื่องความยาวนานของกาลเวลา
ซึ่งในเรื่องของการออกแบบสัญญาที่ดีนั้น ผมคิดว่าไม่น่าเกินความสามารถของรัฐในการที่จะหาเนติบริกรฝีมือดีมาช่วยเหลือในส่วนนี้
หากมองในเรื่องของสภาพรถ เป็นไปได้ว่ารูปแบบสัญญาที่ดีดังกล่าวนั้นอาจทำให้ประชาชนต้องรับภาระค่าบริการที่สูงขึ้น แต่ผมเชื่อว่า มันมีวิธีง่ายๆและประหยัดเงินในการที่จะบำรุงรักษาสภาพรถให้อยู่ในสถานะที่มีความปลอดภัยเพียงพอจะรองรับการใช้งานของประชาชน ซึ่งตรงส่วนนี้ คงต้องรบกวนรัฐหรือผู้ที่มีความรู้ในการคิดหาทางออก มิใช่ปล่อยให้ทางผู้รับสัมปทานไปจัดการเอาเอง เพราะผมไม่มั่นใจในความกระหายกินค่าหัวคิวของคนบางกลุ่ม อันอาจนำมาซึ่งรายงานค่าใช้จ่ายในการปรับสภาพรถที่สูงกว่าเป็นจริง และเป็นเหตุอันอ้างขอผลเป็นการขึ้นค่าบริการได้
ผมพอจะเข้าใจว่า ของบางอย่างนั้นเป็นไปได้ยากหากอยากจะได้ “ถูก” และ “ดี” มาอยู่ในที่เดียวกัน
ดังนั้น แง่ด้านที่ผมอยากจะเน้นจริงๆจึงเป็นเรื่องของจิตสำนึกที่มากกว่าเพียงวินัยมารยาทในการขับรถตามกฎจราจรของคนที่จะมาทำหน้าที่ขับ เป็นจิตสำนึกว่าด้วยเรื่องภาระแห่งพหุชีพอื่นๆที่ตนต้องแบกรับในฐานะคนขับรถโดยสารประจำทาง
อย่างน้อย ถ้าทำให้คนขับมีจิตสำนึกในการขับที่ดีได้ ผมเชื่อว่าเราน่าจะประหยัดค่าถมถาดหลุมด้วยมาตรวัดความเร็วไปได้โขเลยทีเดียว
ซึ่งในส่วนของจิตสำนึกที่ดีนั้น คงต้องรบกวนทางองค์กรที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องให้สรรหาและเสริมสร้างแรงจูงใจที่ดี ที่จะชี้ชวนบุคลากรที่มีหน้าที่ขับรถโดยสารประจำทางได้มีจิตสำนึกที่ดี ซึ่งผมไม่อยากให้แรงจูงใจนั้นเป็นไปในเรื่องที่คาบเกี่ยวกับเงิน อาทิเช่นการเพิ่มค่าแรงให้กับพนักงาน หรือเรื่องของการเพิ่มส่วนแบ่งจากค่าโดยสารต่อรอบให้ เพราะอาจส่งผลถึงค่าบริการที่สูงขึ้นสำหรับกรณีแรก อันอาจเป็นปัญหาต่อปากท้องของประชาชนที่ยังต้องทำงานแบบหาเช้ากินค่ำได้ และส่งผลถึงความพยายามเบียดอัดยัดคนหรือแย่งผู้โดยสารกันสำหรับกรณีหลัง
และกับในเรื่องของการใช้เงินนั้น รัฐเองก็คงไม่มีเงินงบประมาณอุดหนุนในส่วนนี้ เพราะเพียงต้องมอบสัมปทานให้คนอื่นมาทำแทน ก็เห็นแล้วว่าบริการในส่วนนี้กำลังเกินกำลังจ่ายของรัฐ จึงต้องมอบให้เป็นหน้าที่ของคนอื่น
แต่เรื่องที่น่าเศร้าและทำให้ผมแค้นใจตัวเองก็คือ ผมยังมองไม่เห็นวิธีที่จะสร้างแรงจูงใจโดยไม่ต้องใช้เงินให้เกิดขึ้นได้
แต่ผมก็ยังไม่หมดหวัง ผมยังมีหวังว่าด้วยความคิดที่ไม่หยุดนิ่ง วันหนึ่งผมจะหามันเจอ หรือมีใครสักคนหามันเจอ และได้ทำการผลักดันให้เกิดกันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ผมอยากกราบขอให้ช่วยกันสละเวลา หรือใช้เวลาในยามว่างคิดด้วยกันสักนิด เพราะอย่างน้อยแล้ว แม้หลายๆท่านจะอยู่ในสถานะที่ไม่ต้องพึ่งพาระบบขนส่งมวลชนแล้ว แต่ตราบใดที่ชีวิตยังต้องมีความเกี่ยวข้องกับถนน เราก็คงหนีไม่พ้นที่จะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับระบบขนส่งมวลชน ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของการพบเจอ หรือการเฉียดเฉี่ยวเกี่ยวชนก็ตาม ซึ่งหากแก้ไขตรงจุดนี้ได้ เราทุกคนย่อมได้ผลประโยชน์ร่วมกัน
ส่วนในเรื่องของสัญญาใจที่ยิ่งใหญ่กว่าลมปากนั้น คงต้องมีทั้งกับในฝ่ายรัฐและฝ่ายผู้รับสัมปทานจากรัฐ เป็นเรื่องของความจริงใจในการให้บริการ และเห็นแก่สิทธิเสรีภาพในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน มากกว่าจะหมุนวนความคิดอยู่ในเรื่องของเม็ดเงินที่จะได้รับ
-ภาคประชาชน-
ในส่วนของประชาชนนั้น หากต้องการได้รับบริการที่ดี ผมว่าเราคงต้องเลิกกันเสียทีกับวัฒนธรรมแบบบ่นว่ากันปากต่อปาก เพราะทางองค์กรที่ให้บริการนั้นก็ได้เปิดช่องทางในการร้องเรียนไว้ให้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของหมายเลขข้างรถ ชื่อของพนักงานขับรถและพนักงานเก็บค่าโดยสาร (สองอย่างหลังนี้คงต้องรณรงค์เพิ่มขึ้นในส่วนของรถร่วมบริการ) พร้อมทั้งมีหมายเลขโทรศัพท์ให้ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนในบริการสามารถส่งเสียงไปร้องเรียนได้
ซึ่งถ้ามองถึงช่องทางดังกล่าวแล้ว เราจะเห็นได้ว่า มีลู่ทางในการร้องเรียนเปิดรอให้ได้วิ่งไปอยู่แล้ว ผมไม่มีสถิติการร้องเรียนบริการขนส่งมวลชนอยู่ในมือ จึงไม่อาจรู้ได้ว่าในหนึ่งปี หนึ่งเดือน หรือหนึ่งอาทิตย์นั้นมีการร้องเรียนเรื่องการบริการมากน้อยเพียงใด
หากมีน้อย ทั้งๆที่มีการบ่นแบบปากต่อปากและออกตามสื่ออยู่มากมายกระหึ่มเมืองขนาดนี้ นั่นย่อมหมายความว่ามีคนส่วนหนึ่ง หรืออาจจะส่วนใหญ่ที่เลือกที่จะไม่ทำการร้องเรียนไปตามช่องทางที่ภาครัฐและองค์กรที่ให้บริการจัดสรรไว้ให้ ซึ่งในการเลือกที่จะไม่ทำการร้องเรียนนั้น อาจจะเป็นไปด้วยเหตุผลต่างๆกัน แต่ผมว่า ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ก็น่าจะอนุมานได้ว่าเป็นการละเลยต่อสิทธิเสรีภาพในชีวิตอันพึงมีพึงใดของทั้งตนเอง และประชาชนคนอื่นคนใดที่มีความเกี่ยวข้อง
แต่ผมเชื่อว่า เหตุผลหลักที่ทำให้ไม่มีการร้องเรียนไปตามช่องทางนั้น น่าจะมาจากการที่องค์กรรัฐนั้นไม่ได้รับความเชื่อถือจากประชาชน คือประชาชนไม่มีความมั่นใจว่าคำร้องของตนนั้นจะเป็นที่ได้รับได้รู้ถึงหูผู้มีอำนาจ จึงนำมาซึ่งความเบื่อหน่ายที่จะทำการร้องเรียนไปในที่สุด
ตรงนี้คงต้องย้อนกลับไปเป็นหน้าที่ของรัฐ ที่จะต้องมีการปฏิบัติบริหารที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนได้ เพราะอย่าลืมว่า มีรัฐธรรมนูญที่คุ้มครองในส่วนนี้อยู่ (แม้จะถูกฉีกไปแล้ว แต่ผมเชื่อว่ามาตราเหล่านี้คงไม่หายไปจากรัฐธรรมนูญไทยฉบับต่อๆไปแน่ๆ) คือมาตรา 59 และ 61 ของหมวด 3 (สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย) อันมีความตราไว้ดังต่อไปนี้ตามลำดับ
“มาตรา 59 บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับข้อมูล คำชี้แจง และเหตุผล จากหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น ก่อนการอนุญาตหรือการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมใดที่อาจมีผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัย คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียสำคัญอื่นใดที่เกี่ยวกับตนหรือชุมชนท้องถิ่น และมีสิทธิแสดงความคิดเห็นของตนในเรื่องดังกล่าว ทั้งนี้ ตามกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนที่กฎหมายบัญญัติ”
“มาตรา 61 บุคคลย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องราวร้องทุกข์และได้รับแจ้งผลการพิจารณาภายในเวลาอันสมควร ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ”
และเรายังมีมาตรา 62 ของหมวด 3 ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นไม้ตายสุดยอดที่ประชาชนจะใช้งัดค้านกับหน่วยงานรัฐ ซึ่งมีคนใช้ไปแล้ว (ผมคงไม่ได้เข้าใจผิดนะครับ) คือคุณ “ศาสตรา โตอ่อน” หรือ “เมฆบ้า - Crazy Cloud” ที่ออกอาละวาดอยู่ในบล็อกตัวเอง อยู่ช่วงหนึ่ง และตอนนี้ได้กลับมาอีกครั้งแล้ว ซึ่งมาตราดังกล่าวนั้นมีความตราไว้ดังนี้
“มาตรา 62 สิทธิของบุคคลที่จะฟ้องหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐรัฐวิสาหกิจ ราชการส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรอื่นของรัฐ ที่เป็นนิติบุคคล ให้รับผิดเนื่องจากการกระทำหรือการละเว้นการกระทำของข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยงานนั้นย่อมได้รับความคุ้มครอง ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ”
ดังนั้น เราจึงพอจะเห็นกันแล้วว่า สิทธิในการร้องเรียนบริการขององค์กรรัฐของเรานั้นได้รับความคุ้มครองอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และเป็นสิ่งที่สามารถกระทำได้
กลับมายังกรณีที่ว่า หากสถิติการร้องเรียนมีสูง
ทีนี้คงต้องมาดูกันแล้วล่ะครับ ว่าหูตาขององค์กรรัฐนั้นยังอยู่ในตำแหน่งที่ถูกควรหรือไม่ หากมันอยู่ที่นาที่ไร่ ก็คงถึงเวลาที่ท่านผู้มีอำนาจในองค์กรจะต้องเอามันกลับมาติดตั้งไว้ในที่เดิม และที่สำคัญก็คือ อย่าลืมติดตั้งวงจรให้มันเชื่อมตรงไปถึงสมองส่วนรับรู้ และกรุณาปิดรูเชื่อมระหว่างหูซ้ายและหูขวา เพื่อไม่ให้เสียงร้องของประชาชนเป็นเพียงเสียงลมให้หูท่านนั้นได้ทวนเล่นด้วยนะครับ
พวกผมมีรัฐธรรมนูญเป็นอาวุธนะครับ...
เอ่อ...แต่รอก่อนนะ
คือผมกำลังเอาสก็อตเทปแปะอยู่…
แต่...ได้ใช้แน่ครับ
มาช่วยกันใช้นะ...
BMTA - Bangkokian’s Menace Transportation Adventure -ภาคปัญหา-
ความเป็นจริง (ที่ได้รับรู้) นั้นเป็นสิ่งที่เรามองเห็น ได้รับการบอกกล่าว มีการจารึกเป็นลายลักษณ์อักษร หรือแม้กระทั่งจารึกลงไว้เป็นแนวความคิดหลากหลายที่ตกทอดสืบต่อกันมา
ส่วนความจริงนั้นจะซ่อนอยู่ในมุมมืด...อยู่ภายใต้เงาของความเป็นจริง (ที่ได้รับรู้)
ในการจะหาความจริงที่ซ่อนอยู่หลังเงาของความเป็นจริง (ที่ได้รับรู้) เจอได้นั้น เราจะต้องอาศัยความคิด การตั้งปัญหา การศึกษาค้นคว้า และอีกมากมายที่พอจะอนุมานได้ว่าเป็นการขุดคุ้ยในเชิงลึก
ผมชอบแนวความคิดของนักวิทยาศาสตร์สายกาลมสูตร (“วินทร์ เลียววาริณ” อ้างถึงไว้ในหนังสือ “ปลาที่ว่ายในสนามฟุตบอล”) ที่ว่า “ไม่มีหลักฐานนั้นมิใช่หลักฐานว่าไม่มี” หรือ “Absence of Evidence is not the Evidence of Absence” เพราะแลดูสามารถเป็นกำลังแรงใจในการใช้ความคิดสติปัญญาเพื่อค้นหาความจริงที่ถูกซ่อน ซ้อนทับอยู่ภายใต้เงาหนาหลายชั้นของความเป็นจริง (ที่ได้รับรู้) ได้อย่างดี
บางที...แค่ความรู้สึกก็อาจจะพอเรียกว่าคือความจริงได้
BMTA เป็นตัวอย่างที่ดี...
ในกรณีที่ผมจะพูดถึงในวันนี้ ความเป็นจริง (ที่ได้รับรู้) จะเป็นดังเช่นที่หลายๆคนรู้กันอยู่แล้วว่า “BMTA” นั้นย่อมาจาก “Bangkok Mass Transportation Authority” หรือที่รู้จักกันในนาม “องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ” หรือ “ขสมก.”
แต่จากข้อมูลที่ได้พบเห็น ทั้งทางอ้อมจากการได้เห็นภาพข่าวจากสื่อต่างๆ เสียงเล่าบอกต่อซึ่งประสบการณ์ของเพื่อนๆคนรู้จัก หรือจากประสบการณ์ตรงเช่นเห็นด้วยตา หรือสุดเขตขอบขั้วแห่งประสบการณ์ตรงอันเกิดจากความรู้สึกในยามได้ใช้บริการ ผมว่าในเชิงความจริงแล้ว “BMTA” นั้นคือ “Bangkokian’s Menace Transportation Adventure” หรือ “ภยันตริยขนส่งภัยที่ต้องผจญของคนกรุงเทพฯ” หรือ “ภขผค.” เสียมากกว่า
หรืออาจจะยังย่อได้ว่าเป็นขสมก. แต่หาได้ย่อมาจาก “องค์กรขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ” ไม่ หากแต่จะเป็น “ข้าฯสมัครใจจะมอดม้วยด้วยบริการนี้ที่มีแก่คนกรุงเทพฯ” หรือ “By all Means i’m willing you to Throw me to death, mr.Authority”
มันเป็นความรู้สึกจากการที่ผมต้องใช้ชีวิตการเดินทางทั้งระยะใกล้และระยะไกลโดยที่ต้องผูกติดอยู่กับบริการของขสมก.เป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้ทั้งนั้นผมได้รวมเอาบริการของรถร่วมบริการไว้เป็นการบริการของขสมก.ด้วย
ผมพอจะเข้าใจว่าขสมก.ไม่ได้เป็นผู้ให้บริการในส่วนของรถร่วมฯโดยตรง แต่ขสมก.เองก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า รถร่วมบริการของเอกชนนั้น เป็นวิสาหกิจที่เกิดจากการใช้วิจารณญาณของขสมก.ในการอนุมัติมอบสัมปทานการประกอบการให้ ซึ่งหลายๆคนที่เคยได้สัมผัสคงยากจะปฏิเสธว่าการบริการของรถร่วมบริการนั้นเป็น “ภยันตริยขนส่งภัยที่ต้องผจญของคนกรุงเทพฯ” อย่างแท้จริง
ในส่วนบริการโดยตรงของขสมก.นั้นผมคงไม่ขอกล่าวถึงมาก เพราะไม่ค่อยเจอการบริการที่คุกคามสิทธิเสรีภาพทางร่างกาย หรือจิตใจในฐานะที่ผมเป็นประชาชนพลเมืองที่ได้รับการคุ้มครองโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ซึ่งตอนนี้มีเพียงชื่อ) สักเท่าไหร่ จะมีบ้างก็อย่างที่แฟนผมเจอเช่นเรื่องที่ปัดน้ำฝนไม่ทำงานในระหว่างที่ฝนกำลังตกหนัก ซึ่งในเชิงกลไกแล้วอาจจะเป็นเรื่องเล็กน้อยกับการที่ก้านพลาสติกขนาดเล็กๆก้านสองก้านจะไม่ทำงาน แต่ในเรื่องของความปลอดภัยนั้นผมถือว่ามันเป็นความอันตรายยิ่งใหญ่ถึงขั้นควรจะหยุดเดินรถ หรือไม่ก็น่าจะมีการตรวจสอบในทุกครั้งถึงความปรกติของอุปกรณ์ต่างๆก่อนที่จะเดินรถออกจากอู่
ลองคิดดูนะครับว่า ในกรณีที่ที่ปัดน้ำฝนไม่ทำงานในขณะที่ฝนกำลังตกหนัก หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นแล้วคนที่เดือดร้อนหรือได้รับบาดเจ็บคงไม่ใช่แค่คนขับรถ พนักงานเก็บค่าโดยสาร หรือผู้โดยสาร (หรืออาจจะมีนายตรวจด้วย) ที่อยู่บนรถโดยสารประจำทางปรับอากาศคันนั้น ซึ่งผมว่าจริงๆแล้วคนเหล่านั้นอาจจะไม่บาดเจ็บอะไรเท่าไหร่ เพราะถึงอย่างไรก็อยู่ในรถใหญ่ที่มีความเร็วอยู่ในระดับช้าเนื่องจากสภาพอากาศและสภาพการจราจร แต่ถ้าหากเจ้ากล่องสี่เหลี่ยมหกล้อที่ยักคิ้ว (ขยับที่ปัดน้ำฝน) ไม่ได้นั่นเกิดไปเกี่ยวเอารถจักรยานยนต์เข้า ผลที่เกิดขึ้นคงไม่น่าดูนัก
หรือจะเรื่องของเครื่องปรับอากาศที่ขาดความเย็นอย่างร้ายกาจ หลายคนอาจไม่คิดว่าเป็นปัญหา ตรงส่วนนี้ผมคงจะยกให้เป็นความผิดของตัวเองที่อ้วนอย่างร้ายกาจไม่แพ้กัน จึงร้อนอย่างร้ายกาจภายใต้สภาพการปรับอากาศที่หลายๆคนอาจจะไม่รู้สึกอะไร
หากแต่ครั้งหนึ่งในรถทัวร์ปรับอากาศสายใต้ ผมเคยเจอสภาพเครื่องปรับอากาศที่ขาดความเย็นอย่างคล้ายคลึงกัน และมันรุนแรงถึงขั้นทำให้ชายที่นั่งอยู่ข้างหลังผมมีอาการลมชักกำเริบ ตั้งแต่นั้นผมก็เลยมองว่าเครื่องปรับอากาศที่ไม่สามารถสร้างความเย็นได้นั้นก็ถือเป็นปัญหาหนึ่งได้เช่นกัน
แต่กับปัญหาเหล่านั้นผมก็ยังพอจะทนทำใจไปกับมันได้ ส่วนไอ้ที่ร้อนรนจนทนไม่ได้ คงไม่พ้นปัญหาจากการใช้บริการรถร่วมบริการของเอกชน อย่างไม่ต้องสนใจเลยว่าเป็นมินิบัส (Minibus) หรือเมกะบัส (Mega-bus) เพราะจากที่ได้ประสพพบมา ล้วนมีมาตรฐานการดำเนินการบริการที่ไม่ต่างกัน
ผมไม่ค่อยจะอินังขังขอบอะไรกับเรื่องสภาพของรถสักเท่าไรนัก เพราะเรียกร้องโวยวายไปก็คงไม่ได้รับการแก้ไขจนกว่าจะมีข่าวว่ามีคนทะลุพื้นรถโดนขยี้ตายเหมือนในข่าวเมื่อหลายปีก่อน แต่ตอนนี้ผมก็เห็นปัญหาอีกอย่างที่ยังตัดสินไม่ได้ว่ามันอันตรายมากหรือน้อยกว่าพื้นผุๆของรถกันแน่
นี่เป็นเรื่องโจ๊กตลกร้ายเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับเกจวัดความเร็วของรถโดยสารประจำทางขนาดเล็กหรือมินิบัส มีอยู่วันหนึ่งผมนั่งรถประเภทดังกล่าวกลับมาจากเซ็นทรัลปิ่นเกล้า พนักงานขับรถก็สำแดงทักษะการขับสุดฉวัดเฉวียนเสียจนผมอดรนทนไม่ได้ เลยเกิดดำริว่าขอให้ผมได้ยลตำแหน่งชี้ของเข็มความเร็วมึงหน่อยเถิด คิดได้ดังนั้นแล้วจึงยื่นหน้าไปดู ในตอนนั้นไม่ได้คิดไว้แม้แต่ว่าจะเจอเข็มชำรุดอย่างที่เจอในหลายๆคันหรอกครับ เลยไม่ได้เตรียมใจไว้ ทีนี้เลยช็อกยิ่งกว่าช็อก เพราะไอ้ที่ผมเห็นน่ะ อย่าว่าแต่เข็มเลยครับ เกจก็ไม่มี ตรงแผงคอนโซลหน้าคนขับนั้นมีลักษณะประหนึ่งถาดหลุมใส่ข้าว ถาดสามหลุมที่เห็นแล้วแทบจะไปซื้อข้าวกับกับอีกสองอย่าง เทลงไปให้คนขับได้เก็บไว้กินตอนขับ หรือไม่ก็เก็บไว้ใส่บาตรไปให้เขาได้ใช้กินในโลกหน้า
ผมก็ไม่ได้คิดหรอกนะครับ ว่าถ้ามีเข็มมีเกจให้คนขับได้เห็นแล้วพวกเขาจะขับรถช้าลง เพราะผมคิดว่าความเป็นจริง (ที่ได้รับรู้) เชิงตัวเลขที่มองเห็นจากเข็มวัดนั้น ทั้งๆที่หากมีตัวเลขให้ได้เห็นกันอย่างชัดเจน ประกอบกับการมีกฎหมายที่มีประสิทธิภาพที่ใช้ในการควบคุมการจำกัดความเร็วของรถโดยสารประจำทาง เหล่านั้นอาจทำให้คนขับมีความรำลึกถึงความเร็วที่ควรเป็น เพื่อเห็นแก่สวัสดิภาพของตนเอง ผู้โดยสาร รวมทั้งเพื่อนร่วมถนนด้วย
ทว่า ความเป็นจริง (ที่ได้รับรู้) เชิงตัวเลขดังกล่าวคงไม่อาจสู้ความจริงแห่งความเร็วที่สามารถสัมผัสได้จากการที่เรามองเห็นภาพเบื้องหน้ามาถึงตัวเร็วขึ้นและเร็วขึ้นเรื่อยๆ หรือมองเห็นภาพทิวทัศน์รอบข้างกลายเป็นเพียงเส้นขาวแสงดำที่พุ่งผ่าน ซึ่งสิ่งเหล่านั้นย่อมเป็นสิ่งที่คนขับน่าจะสัมผัสได้อยู่แล้ว
บางทีอาจจะเป็นสัญชาตดาน...
ผมไม่ได้เขียนผิดนะครับ ผมเชื่อว่าพฤติกรรมดังกล่าวนั้นเป็น “สัน-ชาด-ตะ-ดาน” คือสัญชาตญาณความรุนแรงที่ก่อรากฝังตัวลึกจนกลายเป็นสันดาน แล้วแสดงออกมาในการขับรถ ผมไม่ได้หยาบคายหรือกำลังใช้ความแห่งอักษรไปในเชิงดูถูกแต่อย่างใด ผมขอเรียกว่านี่เป็นความอักษรในเชิงจิตวิเคราะห์ เพราะในความรวดเร็วในการขับที่รุนแรงนั้นมันแฝงไปด้วยแรงขับดันหลายๆอย่าง ประเด็นต้นๆคงไม่พ้นเรื่องการทำเวลาเพื่อสามารถวิ่งได้อีกหลายรอบ อันเป็นไปเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับตัวเองและครอบครัว ซึ่งส่วนนี้เป็นเรื่องของปากท้อง อีกเรื่องหนึ่งก็คือรถดังกล่าวนั้นออกกันตามคิว ถ้ารถที่ออกมาก่อนกลับไปถึงอู่ช้ากว่าคันที่ออกมาทีหลัง รถที่ออกมาก่อนจะต้องถูกปรับ เป็นผลให้ต้องทำการรีดเค้นความสามารถในการทำเวลาออกมาให้เต็มที่ ซึ่งส่วนหนึ่งคงเพราะต้องชดเชยเวลาที่หน่วงนานจนล่วงเลยไปเนื่องมาจากการจอดแช่ป้ายด้วย
ส่วนประเด็นในเชิงลึกนั้น ผมว่าบางทีการขับเร็วนั้นอาจจะเป็นช่วยเพิ่มน้ำหนักให้กับชีวิตและความเคารพในคุณค่าของตัวเองของคนขับ คือทำให้รู้สึกว่าตัวเองนั้นมีทักษะความสามารถในการขับที่สูงส่ง ยิ่งถ้ามีการขับแข่งกัน คงยิ่งเป็นความสุนกสนานท้าทายที่มากยิ่งขึ้น และคงทำให้รู้สึกว่าตัวเองเก่งกาจมากขึ้นในกรณีที่แข่งชนะ และที่แน่ๆคงไม่พ้นความสะใจ
ผมไม่ได้สนุกสะใจไปกับพวกคุณนะครับ...
อย่างหนึ่งที่คนขับรถประจำทางควรตระหนักก็คือ สิ่งที่พวกเขาแบกรับไว้นั้น ไม่ใช่แค่ปากท้องของตัวเองและครอบครัว แต่มันยังมีปากท้องของครอบครัวของคนอื่นที่มอบความไว้วางใจ (ความจำใจ) ใช้บริการของพวกเขา ซึ่งก็คือผู้โดยสารอยู่ด้วย
ผมอาจจะบ่นถึง หรือรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่บ้างกับการเปลี่ยนแปลงของค่าโดยสารในช่วงเวลาที่ผ่านมาที่เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันจนทำให้อยู่ในระดับที่รู้สึกว่าแพง แต่เมื่อเทียบกับความปลอดภัยที่ได้รับแล้ว บางครั้งผมก็รู้สึกว่า เงินแพงขั้นต่ำ 6.50 บาทที่เสียไปนั้นไม่ได้เสียไปเพื่อสวัสดิภาพในการเดินทาง หากแต่กลับกลายเป็นการจ่ายลงเพื่อซื้อความเสี่ยงมาบริโภค เป็นการซื้อสถานภาพพร้อมตายมาให้ตัวเอง จนทำให้รู้สึกว่า ค่าชีวิตของตัวเองในสายตารัฐนั้นช่างต่ำต้อย และน้อยนิดจนปัดประมาณได้ว่าไม่มีค่าใดใดให้ต้องได้รับการคุ้มครองอยู่เลย
และด้วยภาพที่ออกมานั้น คงปฏิเสธไม่ได้ว่า วิสัยการขับของคนขับรถประจำทางหลายๆคันนั้น ได้ทำให้บริการของขสมก.กลายเป็นภยันตริยขนส่งภัยขึ้นมาอย่างจริงจัง
ผมเกือบจะเชื่อว่าความคิดดังกล่าวนั้นเป็นเพียงความมองโลกในแง่ร้ายของตน ถ้าไม่เพียงแต่ผมได้ฟังข่าวถึงคำอุทธรณ์ต่อศาลของทางขสมก. ในคดีความต่อเนื่องจากสองปีก่อนที่พ่อของนศ.สาวคนหนึ่งฟ้องเรียกสินไหมทดแทนจากทางองค์การ (นอกเหนือจากคดีทางอาญากับคนขับรถที่สิ้นสุดไปแล้ว) ในกรณีที่นศ.สาวคนดังกล่าวเสียชีวิตจากความประมาทของคนขับรถ โดยสินไหมดังกล่าวนั้นเป็นเงินนับสิบล้านบาท
คำอุทธรณ์ดังกล่าวโดยเต็มนั้นผมจำไม่ได้ แต่ผมจำความตอนหนึ่งได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน ทางฝ่ายจำเลยยื่นอุทธรณ์ต่อศาลมีความว่า ในเมื่อทางบิดาของนศ.สาวคนนั้นอ้างว่าครอบครัวของตนมีกำลังและวางแผนถึงขั้นจะส่งนศ.สาวคนดังกล่าวไปเรียนเมืองนอก แล้วทำไมจึงปล่อยให้บุตรสาวของตนมาใช้บริการรถโดยสารประจำทางซึ่งถือเป็น “การเสี่ยงภัยประจำวันเป็นกิจวัตร”
พูดจาอย่างนี้เอารัฐธรรมนูญม้วนๆแล้วไปอ่านให้คนพูดฟัง (จริงๆแล้วผมอยากเอาไปตีหัว) คงได้...
คือ...ตอนที่เขาพูดเรายังมีรัฐธรรมนูญอยู่ไงครับ
พูดแบบนี้นี่ผิดรัฐธรรมนูญเต็มๆเลยนะครับ ถ้าบ้านใครยังมีรัฐธรรมนูญฉบับที่เพิ่งถูกฉีกไป (ฉบับวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2540) เหลืออยู่ ก็รบกวนให้หยิบมาแล้วเปิดไปดูที่หมวด 3 อันความในหมวดว่าด้วยเรื่อง “สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย” ให้ดูที่มาตรา 26 ซึ่งเป็นมาตราแรกของหมวดได้เลยครับ
มาตรา 26 ตราไว้เป็นความว่า “การใช้อำนาจโดยองค์กรรัฐทุกองค์กร ต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ และเสรีภาพตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้”
อย่างที่กล่าวไว้ในตอนต้นว่า รถร่วมบริการนั้นเป็นวิสาหกิจที่ได้รับสัมปทานประกอบการจากองค์กรของรัฐคือขสมก. เพราะฉะนั้น ในกรณีคำพูดดังกล่าว จะเห็นได้ชัดว่า องค์กรรัฐองค์กรหนึ่ง ซึ่งก็คือขสมก.ได้ใช้อำนาจในการมอบอำนาจแก่องค์กรหนึ่ง ซึ่งองค์กรดังกล่าวนั้นได้สร้าง “การเสี่ยงภัยประจำวันเป็นกิจวัตร” ให้แก่ปวงชนชาวไทย ผมจะไม่พูดถึงเรื่องศักดิ์ศรี แต่คงไม่เป็นการเกินไปหากจะกล่าวว่าการกระทำแบบนี้นั้นไม่คำนึงถึง “สิทธิ” และ “เสรีภาพ” ในการดำรงชีวิตอยู่อย่างตลอดรอดปลอดภัยของมนุษย์ เพราะองค์กรรัฐได้ผลิต (หรือปล่อยปละละเลยให้เกิดมี) ความเสี่ยงแบบเป็นกิจวัตรประจำวันไว้ในบริการระดับมวลชน
นอกจากผิดในมาตราที่ 26 แล้ว ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ยังผิดในมาตรา 29 วรรค 1 และมาตรา 31 วรรค 1 และ 2 อีกด้วย
ซึ่งมาตรา 29 วรรค 1 นั้นมีใจความดังนี้
“มาตรา 29 การจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายเฉพาะเพื่อการที่รัฐธรรมนูญนี้กำหนดไว้และเท่าที่จำเป็นเท่านั้น และจะกระทบกระเทือนสาระสำคัญแห่งสิทธิและเสรีภาพนั้นมิได้”
แน่นอนครับ จากเรื่องของ “การเสี่ยงภัยประจำวันเป็นกิจวัตร” ตามมาตราและวรรคดังกล่าว เรากำลังถูกจำกัด “สิทธิ” และ “เสรีภาพ” ในการดำรงชีวิตอยู่อย่างตลอดรอดปลอดภัยภายใต้การใช้บริการขององค์กรรัฐ
ส่วนมาตรา 31 วรรค 1 และ 2 นั้นมีใจความดังนี้
“มาตรา 31 บุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย
การทรมาน ทารุณกรรม หรือการลงโทษด้วยวิธีการโหดร้ายหรือไร้มนุษยธรรม จะกระทำมิได้ แต่การลงโทษประหารชีวิตตามที่กฎหมายบัญญัติ ไม่ถือว่าเป็นการลงโทษด้วยวิธีการโหดร้ายหรือไร้มนุษยธรรมตามความในวรรคนี้”
จากเรื่องเดียวกัน เมื่อพิจารณาตามมาตราดังกล่าว และคำอุทธรณ์ดังกล่าว ในทุกๆครั้งที่ใช้บริการขนส่งมวลชน นั่นหมายความว่าเรากำลังถูกทรมาน ถูกทารุณกรรมซึ่ง “สิทธิ” และ “เสรีภาพ” ในชีวิตนั่นเอง
ผมรู้สึกเสียใจ ที่องค์กรรัฐองค์กรหนึ่งตอบแทนความไว้วางใจ (และเงินภาษี) ของประชาชนคนหนึ่ง (และ/หรือทั้งปวง) ที่มอบให้กับพวกเขาเช่นนี้
หากมองแต่ในแง่ดีโดยไม่คิดถึงเรื่องผลประโยชน์ทั้งที่เป็นตัวเงิน และที่ไม่ใช่ตัวเงินใดใด อันเป็นผลให้เกิดการตัดสินใจมอบสัมปทานนั้น ทางองค์กรรัฐคงไม่ได้คาดคิดถึงว่าการณ์นั้นจะออกมาในรูปเดียวกับในปัจจุบันนี้ แต่ในตอนนี้นั้นเมื่อได้เห็นแล้วว่า การตัดสินใจในครั้งนั้นส่งผลต่อสิทธิเสรีภาพในการดำรงชีวิตของประชาชนอย่างไรแล้ว การตัดสินใจนั้นก็ควรได้รับการพิจารณาใหม่หรือทำการปรับปรุงแก้ไขไม่ใช่หรือครับ
อย่าลืมนะครับว่า ในเงามืดของความเป็นจริง (ที่ได้รับรู้) ที่ว่าประชาชนส่วนหนึ่งกำลังรอรถโดยสารประจำทางนั้น ยังมีความจริงประการหนึ่งซ่อนอยู่
สิ่งที่พวกเขารอ...ไม่ใช่แค่รถโดยสารประจำทาง
แต่มันคือการเดินทางโดยสวัสดิภาพครับ...
และมันยังสะท้อนต่อไปว่า ในสายตาของท่านๆที่ดำรงตนอยู่ในนามขององค์กรรัฐนั้น ได้ให้ค่ากับชีวิตของประชาชนที่อยู่ภายใต้การบริหารปกครองของท่านมากน้อยเพียงใด