Saturday, July 16, 2005

 

"Principal-Agent Problem" กับ "บรรษัทสยามประเทศจำกัด(มหาชน)"

ไม่ได้อัพบล็อกมานาน วันนี้เกิดคันๆเลยขุดความรู้กระผีกหางอึ่งของ “นักศึกษาเศรษฐศาสตร์ เอกรีไทร์” ของตัวเองมาละเลงเสียหน่อย เช่นนั้นแล้ว...ผิดถูกประการใดสับกันได้ตามอัธยาศัยเลยครับ

“Principal-Agent Problem” กับ “บรรษัทสยามประเทศจำกัด(มหาชน)”
นายจาบัลย์กำลังนั่งครุ่นคิด...และที่เขากำลังคิดก็คือ
“นักการเมืองเป็นอาชีพที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าใบปริญญานั้นไม่ได้มีค่าความหมายมากเกินไปกว่ากระดาษใบเดียว...”
ไม่ว่าจะมีการกำหนดวุฒิการศึกษาขั้นต่ำของผู้ที่จะก้าวเข้ามาเป็นนักการเมืองหรือไม่ ภาพลักษณ์ของนักการเมืองในสายตาของจาบัลย์และอีกหลายๆคนรอบข้างจาบัลย์ก็ยังไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น กลับกัน นับวันมันยิ่งรังแต่จะแย่ลง คงไม่เป็นการสบประมาทเลยหากจะบอกว่า “นักการเมืองปริญญา” นั้นเป็นพวกที่มีแต่ “วิชา” โดยปราศจาก “ความรู้” หรือถึงมี “ความรู้” ก็ยังคงขาดแคลนหรือถึงขั้นไร้แล้วซึ่ง “ความเข้าใจ”
จาบัลย์เชื่อว่าความคิดของเขาไม่ใช่การสบประมาทหรือดูหมิ่นแต่อย่างไร สิ่งหนึ่งที่นักการเมืองทั้งหลายควรจะได้สำนึกสำเหนียกยามได้รับรู้ถึงความคิดของเขาก็คือ
มันเป็นภาพฉายอันเป็นผลจากพฤติกรรมทั้งปวงที่สัตว์การเมืองทั้งหลายในบ้านเมืองแสดงออกมา...
มันเป็นสิ่งที่ทางเศรษฐศาสตร์เรียกว่า “Principal-Agent Problem” คือ “ปัญหาอันเกิดจากจุดมุ่งหมายในการทำงานที่ต่างกันระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง” จุดมุ่งหมายของนายจ้างคือ “ผลประโยชน์” ของบริษัทอันหมายถึงผลกำไรและความเจริญเติบโตใดๆก็ตามที่บริษัทพึงมี ส่วนจุดประสงค์ของลูกจ้างนั้นคือ “ผลประโยชน์ของตัวเอง” อันคงมิใช่อะไรนอกไปเสียจาก “เงินเดือน” หรือ “ผลประโยชน์อันไม่อยู่ในรูปตัวเงิน” ต่างๆ อาทิเช่น ความสบายใจในการทำงานอันเกิดจากการอู้งานในขณะที่ยังได้รับเงินเดือนเท่าเดิม หรืออาจจะเป็นผลประโยชน์นอกลู่ใดๆอันอาจหามาได้จากการซิกแซ็กในการทำงาน
หากสมมติว่ามีบริษัทหนึ่งอันนามว่า “บรรษัทสยามประเทศจำกัด(มหาชน)” ซึ่งมี “นายประชาชน คนสยาม” (ซึ่งต่อไปนี้อาจจะเรียกว่า “นายจ้าง” หรือ “เจ้าของบริษัท” เป็นบางที่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความลื่นไหลของรูปประโยค) เป็นเจ้าของบริษัท “นายประชาชน คนสยาม” ได้ตกลงว่าจ้าง(เลือก,แต่งตั้ง) “นายนักการเมือง และผองเพื่อน” (ซึ่งต่อไปนี้อาจจะเรียกว่า “ลูกจ้าง” เป็นบางที่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความลื่นไหลของรูปประโยค) ให้ทำงานให้ “บรรษัทสยามประเทศจำกัด(มหาชน)” โดยตกลง(จำใจ)จะจ่ายค่าจ้าง(ภาษี)ให้เป็นรายเดือน ซึ่งแน่นอนว่าความต้องการของ “นายประชาชน คนสยาม” ย่อมต้องหมายถึงผลประโยชน์ความก้าวหน้าอย่างยั่งยืนของ “บรรษัทสยามประเทศจำกัด(มหาชน)” ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ตัวเจ้าของบริษัท(นายประชาชน คนสยาม)ย่อมต้องการให้เป็นความต้องการของลูกจ้าง(นายนักการเมือง และผองเพื่อน)ด้วย
และต่อมา “นายนักการเมือง และผองเพื่อน” ได้สถาปนา “นายกอ รอมอตอ” หรือเรียกกันอีกชื่อว่า “นายว่า ขี้ข้าพลอย” ขึ้นเป็นผู้บริหารและมีอำนาจเหนือตนโดยมีการลงนามยอมรับจากอำนาจที่สูงกว่าตัวนายจ้าง ซึ่งตรงจุดนี้นั้นทั้งนายจ้างและอำนาจที่เหนือกว่ามิอาจทัดทานได้ ทั้งนี้เป็นไปเพื่อความสงบเรียบร้อยภายในอันจะส่งผลถึงเสถียรภาพและความมั่นคงของบริษัท โดยกฎระเบียบของบริษัทแล้ว “นายกอ รอมอตอ” จะเป็นดั่งผู้มีอำนาจบริหารสูงสุดของบริษัท มีหน้าที่ในการดำเนินนโยบายบริหารต่างๆเพื่อสร้างความก้าวหน้าและผลประโยชน์อันยั่งยืนให้แก่บริษัทอันหมายถึงว่านั่นคือผลประโยชน์ของตัวเจ้าของบริษัทด้วย
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงก็คือ “นายกอ รอมอตอ” กลับเลือกจะบริหารบริษัทเพียงเพื่อสนองความกระหายในผลประโยชน์ส่วนตนของตัวเอง นโยบายบริหารต่างๆล้วนถูกผลักดันออกมาใช้เพื่อสร้างช่องทางหาผลประโยชน์ให้แก่ตนเอง กับทั้งยังมีการเผื่อแผ่โอกาสเอื้อเหล่านั้นไปยัง “นายนักการเมือง และผองเพื่อน” ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นไปเพื่อสร้างบุญคุณและรักษาอำนาจการปกครองของตน และสุดท้าย “นายกอ รอมอตอ” ก็กลับกลายเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดโดยใช้ฐานอำนาจที่เหนือกว่ายึด “บรรษัทสยามประเทศจำกัด(มหาชน)” ไปเป็นของตน และฮุบเงินภาษี...เงินเดือนทั้งหมดไปบริหารเองแทน “นายประชาชน คนสยาม”
ซึ่งการยึดบริษัทนี้จะสามารถเป็นไปได้ง่ายขึ้นหาก “นายกอ รอมอตอ” เป็นผู้ร่ำรวยทรัพย์สินล้นฟ้า เพราะ “นายกอ รอมอตอ” อาจใช้กลยุทธ์ควักกระเป๋าตัวเองจ่ายเงินเดือนเพิ่มให้ “นายนักการเมือง และผองเพื่อน” อีกส่วนหนึ่งเป็นส่วนเพิ่มจากเงินเดือนประจำที่ได้รับจาก “นายประชาชน คนสยาม” ซึ่งการซื้อคนด้วยเงินมหาศาลนั้นง่ายดายกว่าการซื้อคนด้วยใจนัก ด้วยยุทธวิธีดังกล่าวแล้วก็ไม่ยากนักที่ “นายกอ รอมอตอ” จะสามารถขึ้นมาเป็นใหญ่และกุม “บรรษัทสยามประเทศจำกัด(มหาชน)” ไว้ในกำมือได้ สุดท้าย “นายประชาชน คนสยาม” ก็ได้แต่คร่ำครวญในใจ…
“กูจ่ายภาษีจ้างโจรมาปล้นและยึดบริษัท”
พูดง่ายๆก็คือ มันมีความแตกต่างดังยกตัวอย่างไปแล้วอยู่ระหว่าง “จุดประสงค์ของเจ้าของประเทศ” คือ “ประชาชน” กับ “กลุ่มผู้บริหาร” ซึ่งก็คือ “สัตว์การเมือง” นั่นเอง...
พอแล้วดีกว่า...วัยรุ่นเซ็ง
ปล.ดังกล่าวไปแล้ว ความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ของผมมันเพียงกระผีกหางอึ่ง ผิดถูกประการใดโปรดให้อภัยก่อนสับแหลก...

Comments:
อารายฟะที่รัก...
 
เขียนได้ดี สำนวนโวหารแสบๆโดนใจดีมาก ไอ้ที่ถ่อมตัวว่ามีความรู้เพียงเสี้ยวนั้นก็คงต้องคิดอีกที
ว่าแต่ในเมื่อรู้กันว่ามันเป็นปัญหา Principal-Agent Problem อย่างที่นำเสนอมา อย่างไรเสียเมื่อมีปัญหามันก็สมควรจะต้องมีทางแก้ ถ้าตามทฤษฎีเราก็ควรจะต้องหาระบบที่เข้าไปควบคุมและลงโทษ Agent ตัวดี "นายกอ รอมอตอ" ด้วยความที่ทำตัวบิดเบี้ยวจากกติกาที่ตกลงกันไว้ แต่ใครหนอจะกล้าพอที่จะท้าทายอำนาจ ก็ให้นึกท้อใจ เรามันก็เป็นเพียงมดตัวน้อยหรือเป็นเพียงกลไกเล็กๆในบริษัทใหญ่ ถ้าจะหวังพึ่งสถาบันอื่นหรือองค์กรรัฐก็คงเป็นเรื่องไกลสุดฝัน เพราะพี่แกเล่นคุม เกาะกุม และยึดอำนาจอย่างไม่กลัวฟ้าอายดิน แถมลดเลี้ยวซิกแซกกันซึ่งหน้า ประชาชนอย่างเราก็ได้แต่มองตาปริบๆ แต่ก็นั่นแหละเราก็ไม่ควรท้อแท้ ฟ้าหม่นๆไม่ได้มีกันทุกวัน ฉะนั้นก็ต้องทำการควบคุมเอาเข็มแทงให้พี่เบิ้มแกสดุ้งบ้าง เผื่อว่าจะเกิดปาฏิหาริย์ invisible hand จากกลไกเล็กๆอย่างเราไปคานอำนาจท่านบ้าง ก่อนที่บรรษัทจะล่มก่อนรุ่ง สร้างน่ะยาก แต่แก้มันยากกว่าหลายเท่านะคะคุณขา หรือว่าไง?
 
เรื่องของเรื่องก็คือ...ผมว่ามดเกือบทุกตัวเห็นปัญหา แต่มันล้วนเห็นน้ำตาลก้อนเล็กตรงหน้าที่คว้าจับได้ง่ายตามรายวันนั้นสำคัญกว่าน้ำตาลก้อนใหญ่ขนาดอนันต์ที่สามารถกินกันได้ตลอดชีพ

จะเห็นได้ชัดว่าณ.ทุกวันนี้เสียงก่นด่าที่มีต่อระบบการเมืองของบ้านเรานั้นช่างมากมายมหาศาล เสียงนั้นดังจนข้ามประเทศ แต่ปัญหาก็คือมีแต่คนพูด ไม่มีการรวมตัวแสดงพลังต่อต้านกันอย่างจริงจัง (แต่อย่างว่า ตำรวจก็ของเขา ทหารก็ของเขา อาวุธทั้งหมดอยู่ในมือเขา เราแกล้งตายแล้วส่งเสียหลอนอาจจะดีกว่า) แต่ที่อยากจะบอกก็คือ ผมไม่แน่ใจนะว่ามันเป็นลักษณะของ "คนทั่วไป" หรือ "คนบ้านเรา" ที่จะ "ไม่รู้สึกรู้สาต่อความพินาศใดๆตราบใดที่มันยังไม่มาหายใจรดต้นคอ" เราเห็นแล้วว่าระบบทุกวันนี้จะพาบ้านเมืองไปสู่ความฉิบหาย แต่ผู้คนมากมาย (ทั้งที่ด่าและไม่ด่า)ก็ยังเห็นแก่หน้าที่ตรงหน้าอันมีผลต่อการดำรงชีวิตให้ผ่านไปวันๆหรือผ่านไปชาติๆของเขามากกว่า ไม่มีใครว่าง(หรือคิดจะว่าง)พอออกแรงเพิ่มมากกว่าปาก ออกแรงกันอย่างจริงจังเพื่อแสดงพลังในการต่อต้านออกมา

ผมอยากรู้เหมือนกันว่าถ้าเฟืองทุกตัวหยุดเดิน...แล้วระบบมันจะยังเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างไร

กลัวแต่จะโดนปืนกับอำนาจมืดมาแหย่ตูดให้เดินต่อก็เท่านั้น...
 
โย่ๆ เข้ามาอ่านแล้วนะ หายไปนานเชีย นึกว่าจะไม่อัพแล้ว
เรื่องนี้นะเราว่าทุกคนก้อเห็นเหมือนกันแหล่ะ แต่มันยังไม่ใช่ปัญหาสำคัญของแต่ละคนไง เรื่องมันก้อเลยจบลงแค่ในวงสนทนา ไม่มีใครแสดงตัวขึ้นมาต้าน แต่ก้อว่าไปนะเราก้อเหมือนคนอื่นๆล่ะ ใครมันจะไปกล้าต้านเค้าวะ
 
ขอบคุณครับสำหรับบทความ
 




شركة تنظيف في الكويت شركة تنظيف بالكويت
فني صحي فني صحي في الكويت
سباك الكويت سباك بالكويت

شركة تنظيف كنب الكويت تنظيف كنبات الكويت
ادوات صحيه الكويت ادوات صحيه الكويت
شركة غسيل سجاد الكويت غسيل سجاد الكويت
فني كهربائي منازل الكويت كهربائي منازل في الكويت

 
Post a Comment



<< Home

This page is powered by Blogger. Isn't yours?