Monday, January 23, 2006

 

ตะกอนจาก Absolute Truth


ได้อ่านบทความ "จาก ฟุจิวาระ โนะ ซาอิ ถึง พอล แอร์ดิช : เกมของพระผู้เป็นเจ้า?" จาก www.lukasti.blogspot.com แล้วก็ให้หงุดหงิดหัวใจ

ไม่ใช่หงุดหงิดกับทัศนคติของคุณเจ้าของบล็อก แต่หงุดหงิดต่อเรื่องการคงอยู่และเจตจำนงค์ของสิ่งสมมติที่เรียกว่าพระเจ้า

อันว่าด้วยแนวคิดเรื่อง Absolute Truth ที่ผมเคยคุยกับก้อนความคิดหนึ่งนั้น เราได้สรุปว่า มันคือความจริงที่เป็นจริงโดยไม่ต้องตกอยู่ภายใต้เงื่อนไขใดๆ คือไม่ต้องตกอยู่ภายใต้ตัวเชื่อมประโยคทางตรรกะอย่าง จะเป็นจริงเมื่อ... จะเป็นจริงภายใต้... หรือใดๆก็ตามที่เป็นสมมติฐานให้ความจริงนั้นๆเป็นจริง
ด้วยประสบการณ์และภูมิปัญญาเท่าที่มีกัน เราสองคนยังไม่อาจหาเจอว่าสิ่งใดในโลกนี้ที่มีการคงอยู่ที่คู่ควรต่อนิยามแห่งความจริงสัมบูรณ์ดังกล่าว และนั่นทำให้คู่สนทนาของผมเริ่มจะปักใจเชื่อมากขึ้นเรื่อยๆว่าพระเจ้านั้นมีอยู่จริงๆ และพระเจ้านั่นเองที่เป็นความจริงสัมบูรณ์นั่น
ต่อข้อถามที่ว่า จะค้นหา Absolute Truth ไปเพื่ออะไร? คุณก้อนความคิดนั้นตอบว่า (บางที)ที่เขาค้นหาความจริงสัมบูรณ์นั้นอาจเป็นไปเพื่อเติมเต็มซึ่งเจตจำนงค์แห่งพระผู้เป็นเจ้า
คุณคือใครกันครับ...พระผู้เป็นเจ้า??
ไยช่างยิ่งใหญ่ กับทั้งยังมีเวลาว่างมากมายมาวุ่นวายกับวิถีทางชีวิตของมนุษย์ได้มากขนาดนี้??
คุณก้อนความคิดดังกล่าวบอกว่า เขาไม่เชื่อว่าโลกนี้มีเรื่องบังเอิญ สิ่งที่เรียกว่าความบังเอิญนั้น แท้จริงแล้วก็คือ ความเป็นไปได้ (Probability) ที่มีค่าอัตราส่วนต่ำมากระดับหนึ่งในล้านหรือน้อยยิ่งกว่านั้น
จากทรรศนะดังกล่าว สิ่งที่ผมคิดก็คือ ความบังเอิญคืออะไร?
สำหรับผม ความบังเอิญก็คือ ความเป็นไปได้อันไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ ความเป็นไปได้อันแสนน้อยนิดที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ และด้วยเราไม่เคยคิดว่ามันจะเกิดขึ้นได้ เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว เราจึงเรียกมันว่าความบังเอิญ
เพราะฉะนั้น ในทรรศนะของผม โลกนี้มีความบังเอิญ และมันก็คืออัตราส่วนอย่างต่ำหนึ่งในล้านของความเป็นไปได้นั่นเอง
แต่คุณก้อนความคิดก้อนนั้นก็เชื่อว่า ความบังเอิญนั้นก็คือประสงค์หนึ่งแห่งพระผู้เป็นเจ้า และรวมถึงทั้งปรากฏการณ์ต่างๆในโลกที่ยังไม่อาจหาคำตอบใดๆได้นั้นก็น่าจะเป็นไปได้ที่จะเป็นพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าเช่นกัน
ผมว่า...บางทีการคิดอย่างนั้นก็ถือว่าโอเคสำหรับคำถามที่หาคำตอบไม่ได้
เพราะทั้งผมทั้งเขาคงไม่ได้มีเวลาว่างมากพอจะไปค้นหาซึ่งคำตอบแก่สิ่งเหล่านั้น...
เนื่องด้วยไม่ได้เตรียมการใดๆทางความคิดมากนัก บทความนี้จึงยังไม่มีใจความทางความคิดใดๆต่อเนื่องจากนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมคิดก็คือ ตอนนี้ คุณก้อนความคิดก้อนนั้นกำลังต้องการจะเป็นในสิ่งใด
ผู้เดินหมาก...
หรือ...ตัวหมาก?
หากแม้แท้จริงแล้วเราทุกคนเป็นเพียงตัวหมาก และชีวิตเป็นเพียงรูปละครหนึ่งจากลายมือของสิ่งที่เรียกว่าพระผู้เป็นเจ้า เช่นนั้นแล้วผมก็คงเป็นเพียงตัวหมากหนึ่งเช่นกัน แต่เป็นตัวหมากหนึ่งที่ต่อต้านซึ่งความเป็นตัวหมากของตัวเอง และพยายามอยู่เสมอที่จะเลือกเล่นบทผู้เดินหมากแก่หมากชีวิตของตัวเอง
ซึ่งนั่น...ก็คงเป็นสิ่งที่พระเจ้ากำหนดไว้แล้วด้วยกระมัง
และจะอย่างไรก็ตาม ตอนนี้ผมคิดเพียงอยากจะวอนขออะไรบางอย่างจากพระเจ้า ในกรณีที่หากท่านคือชายผู้จรดปากการ่างบทชีวิตมนุษย์ขึ้นมาจริง พระองค์เอ๋ย จงเพิ่มบทให้ข้าอีกสักหนึ่ง จงเพิ่มบทไปว่าให้ข้าไปเป็นผู้หนึ่งที่ได้พบกับท่าน และเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อความหาญกล้าที่บังอาจเอาชีวิตแสนมีค่าของมนุษย์มาเล่นสนุกในเพียงฐานะละครเรื่องหนึ่ง จงเพิ่มบทให้ข้า เพิ่มฉากชกหน้าที่ทรงพลานุภาพที่สุดแห่งอายุขัยโลก
จงเขียนให้ข้าได้ชกหน้าท่าน...
ข้าจะรอ...
หรือไม่ก็...
จง...รอข้า

Comments:
หากความบังเอิญคือความเป็นไปได้ ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ พระเจ้าก็คงเป็นความบังเอิญเหมือนกันละมั้ง

เมื่อพระเจ้าเท่ากับความบังเอิญ
พระเจ้าจึงเท่ากับความเป็นไปได้อันน้อยนิด
แล้วพระเจ้าจะเป็น absoluter truth ได้ด้วยไหม อันนี้งงๆ อ่ะ

Magnolia (1999, กำกับโดยพอล โทมัส แอนเดอร์สัน) เล่าเรื่องราวของคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่น่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย หากแต่คนกลุ่มนั้น กลับถูกเชื่อมโยงโดยส่งที่เรียกว่าความบังเอิญ หนังสนุกและจี๊ดมาก พี่น่าจะเคยดูแล้วมั้ง ใครยังไม่ดูก็ไปหามาดูกันนะ
 
อืมๆ...จะลองไปหามาดู
 
อ่อนหัดทั้งคู่ นึกว่าจะเจ๋ง

ไปฝึกมาอีกสิบปี

ฮา ฮา ฮา

พระเจ้านะหรือ แท้จริงหามีไม่ จึงมีพระเจ้า

งงละสิ ไอ้หนู หุ หุ
 
อา...งง...งง...งง...
 
คุณปราชญ์ แท้จริงน่านับถือมิใช่น้อย

อ้ายกระผมแอบมาอ่าน และชื่นชอบ จึงลองแหย่เล่น

แต่หาได้โกรธ ความทะลึ่ง บ้าคลั่งของข้าพเจ้าไม่

เช่นนี้แล้วจึงนับว่าเป็น ปราชญ์โดยแท้จริง

ผมเป็นคอปรัชญา ศาสนา โดยเฉพาะเซน

พยายามฝึกฝน จึงเพียงอยากมาทักทายเพื่อจะได้วิวาทะกันให้สนุก

นับถือ นับถือ ในความสงบนิ่ง
 
อ่านแล้วก็ขอมึนงงด้วยคนนะ

ปรัชญานี่เป็นอะไรที่ละเอียดอ่อนลึกซึ้งมากมาย

แค่คำถามที่ว่า "พระมีจริงหรือไม่" หรือ "ความบังเอิญคืออะไร" เท่านี้คงขบกันหัวแตกแล้วมั๊ง

แล้วผมก็เชื่อต่อไปอีกนะว่า ปรัชญาคงมิใช่ความรู้ที่เป็นเอกภาพหนึ่งเดียว คำถามเดียวกัน แต่ละสำนักก็คงจะตอบได้ไม่เหมือนกัน (นี่ผมคิดเอาเองนะ)

ดังนั้นแล้ว ขอเชิญคุณ เมฆคลั่งวานตอบด้วย

จักรอฟังด้วยใจระทวย เอ้ย!! ระทึก
 
อา...น่ายินดีที่ผมอ่านเกมคุณออกก่อนที่จะเผลอทำอะไรผลีผลามลงไป นับว่าเป็นโชค และยินดีอย่างจริงใจที่ต่อไปจะได้มีโอกาสร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน

ก็ยังงงๆอยู่ว่า...เอ...ไอ้คนที่ท่าทางมีความรู้เรื่องศาสนาอย่างแตกฉานมากกว่าคนทั่วไปที่ยังดีแต่หลงทางไปวันๆทำไมถึงได้แสดงความก้าวร้าวออกมาได้ขนาดนั้น

แล้วก็เป็นจริงดังคาด...

ยินดีที่ได้รู้จักกันครับ...

แต่ก็ยังแอบตกใจอยู่แฮะ...ผมมันขวัญอ่อน
 
สัจจะอยู่เลยพ้นจากกรอบแห่งความรู้

จึงใช่การรู้แบบความคิด ใต้เปลือกภาษามาอธิบายไม่ได้

หนทางเดียว คือ การดำดิ่งลงไปสัมผัสมันเท่านั้น

สัจจะ หากศึกษาจน "เห็น" มันแล้ว พระเจ้า พระอัลลเลาะห์ ธรรมะ ก็จะปรากฏขึ้น พร้อมกับการหายไป


ดังนั้น เมื่อท่านอ่านศาสนา หรือปรัชญาที่ยากๆอย่าง เซน คริสต์ พุทธ อิสลาม จึงไม่มีทางเข้าใจได้ มิใช่ว่าท่านขาดปัญญาดอก หากแต่การเข้าใจ มิอาจทำให้ท่านรับรู้ หากแต่ท่านต้องสัมผัสหรือแลเห็นมันเท่านั้น


สำหรับผมคิดว่า ชี้ทางท่านได้ แต่ต้องตัวต่อตัวเท่านั้น ขอรับ

แต่ท่านอาจจะยังขาดการปฏิบัติ
 
ใกล้บ้านแล้ว ไอ่ เบิ๊ด
 
หมายถึงกูกำลังใกล้จะได้กลับบ้าน หรือกำลังใกล้าบ้าวะเจียง...
 
พระเจ้านะมีแน่นอน ไม่ว่ายังไงมนุษย์ก็อยู่โดยขาดพระเจ้าไม่ได้(ไม่นับอัจฉริยบุคคลบางประเภท) ผมไม่อยากเถียงถึงหลักฐานการมีอยู่ของพระเจ้า แต่อยากถามถึงเหตุผลที่ต้องการรู้ว่ามีพระเจ้าหรือไม่ดีกว่า อย่าลืมว่าการมีพระเจ้านั้นทำให้มีสิ่งหลายอย่างดีๆเกิดขึ้นบนโลกนี้ และพระเจ้าก็ไม่เคยบังคับใครไม่งั้นบนโลกก็คงจะมีแต่คนดี
 
ผมว่ามัน"ดูเหมือน"บังเอิญเพราะเรารู้ไม่หมดมากกว่า
 
Post a Comment



<< Home

This page is powered by Blogger. Isn't yours?